goo.gl มี Easter Egg to convert URL to QR Code ได้ทันที


QR code
http://goo.gl/mCXW.qr


Matt Cutts หัวหน้าทีม Webspam ของกูเกิลได้ทวีตเกี่ยวกับ Secret Easter Egg หรือลูกเล่นลับๆ ของบริการ goo.gl ที่เป็นบริการย่อความยาวของ URL จากกูเกิลซึ่งเปิดให้บริการตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว โดยความสามารถดังกล่าวคือการแปลง URL ที่ได้จาก goo.gl เป็น QR Code ได้ทันทีด้วยการเติม ".qr" เข้าไปด้านท้าย
ยกตัวอย่างเช่น เรามี URL ที่ได้จาก goo.gl คือ http://goo.gl/f6ZX จะได้ URL สำหรับ QR Code คือ http://goo.gl/f6ZX.qr เป็นต้น
ความจริงแล้วก็คือกูเกิลนั้นมีตัวช่วยสร้าง QR Code อยู่ในชุดของ Google Chart อยู่แล้ว การเติม .qr เข้าไปด้านท้าย URL จะทำให้ goo.gl ส่งเราไปยัง QR Code ที่ได้จาก Google Chart นั่นเอง
ที่มา - TechCrunch
refernce http://www.blognone.com/news/18944

Windows7 Aero Peek Faster

1.1 ลูกเล่น Aero Peek และ Live Preview ที่ทางไมโครซอฟต์ได้กำหนดมานั้นจะโดนซ่อนเอาไว้ ไม่ให้ผู้ใช้งานทำการปรับแต่งได้ เพื่อความเหมาะสมในการแสดงผล แต่อาจจะดูเชื่องช้ากว่าปกติสำหรับบางท่านที่ต้องการความรวดเร็วในการใช้งาน ดังนั้นในส่วนการแสดงผลตรงนี้เราสามารถแก้ไขให้ลูกเล่นเหล่านี้สามารถแสดง ผลรวดเร็วขึ้นได้ โดยการปรับแต่งค่าผ่านทางรีจิสตรีครับ
เรามาดูขั้นตอนกันดีกว่า ขั้นตอนการปรับแตง
1. คลิก Start -> ที่ช่อง Search programs and files พิมพ์ Regedit -> Enter
2. โปรแกรม Registry Editor จะถูกเปิดขึ้นมา แล้วคลิกเข้าไปในคีย์ย่อยต่อไปนี้

HKEY_CURRENT_USER\Software\Microsoft\Windows\CurrentVersion\Explorer\Advanced

3. ที่พาเนลทางด้านขวา ให้คลิกขวาที่ว่างๆแล้วเลือก New -> DWORD (32-bit) Value
4. ตั้งชื่อให้คีย์ตัวนี้เป็น DesktopLivePreviewHoverTime
ใส่ค่า Value data: 0 แล้วกด OK
5. ที่พาเนลทางด้านขวา ให้คลิกขวาที่ว่างๆแล้วเลือก New -> DWORD (32-bit) Value
แล้วกำหนดชื่อคีย์ให้เป็น ThumbnailLivePreviewHoverTime
ใส่ค่า Value data: 1 แล้วกด OK
6. ที่พาเนลทางด้านขวา ให้คลิกขวาที่ว่างๆแล้วเลือก New -> DWORD (32-bit) Value
แล้วกำหนดชื่อคีย์ให้เป็น ExtendedUIHoverTime
ใส่ค่า Value data: 1 แล้วกด OK
7. เมื่อท่านทำการแก้ไขค่าทั้ง 3 เสร็จเรียบร้อยแล้ว สามารถปิดหน้าต่าง Registry Editor
ได้ทันที แล้วทำการ Restartจะพบว่าความเร็วของ Aero Peek และ Live Preview
เร็วขึ้นกว่า เดิมเยอะเลยครับผม

Windows Live Essentials 2011

http://explore.live.com/windows-live-essentials?os=other


It perform faster

I still can't change my name easily
I still can't check email throught the messenger


fix Galaxy S GPS จับตำแหน่งได้ช้า

เอามาฝากไว้ครับ หลายๆท่านอาจจะเห็น workaround นี้ไปบ้างแล้ว
เห็นใน pantip.com ก้อมีคนไป post แล้ว
ผมก็คิดว่าเจ้า GPS ใน Galaxy S ผมมันจับตำแหน่งได้ช้า ถึงไม่ได้เลย เอ๊..มันเป็นอะไร หรือต้องรอ rom ใหม่ เมื่อคืน..ก็ไปเจอ fix อันนี้เข้า
ลองทำกันดูละกันนะครับ ไม่ได้มารับประกันว่ามันจะ work 100% แต่ท่านใดชอบลองก็มาลองกัน (ผมเปลี่ยนค่าพวกนี้ไปแล้ว แต่ยังไม่มีโอกาสไปยืนท้าฟ้าทดสอบ ว่ามันเร็วขึ้นรึเปล่า)
1. ไปที่ Settings > Location & Security ตรวจสอบว่า "Use Wireless Networks" ไม่ได้ถูกติ๊กเขียวอยู่
2. เสร็จแล้วออกไปที่หน้า Dialer (หน้าโทรศัพท์)
ใส่เลข *#*#1472365#*#* บางตำราว่าให้กดโทรออก แต่เครื่องผมกดเลขครบปุ๊บ มันโหลดโปรแกรม LBSTestMode เลย
3. ที่หน้าโปรแกรม (LBSTestMode) ให้เลือก menu "Application Settings"
เปลี่ยน “Operation Mode” เป็น “MS Based.” กด back กลับออกมา
[ค่าเก่า Standalone]
4. เลือก menu “SUP/LCP Settings”
เปลี่ยนค่า Server เป็น supl.google.com (ไม่เต้องเติม www นะ)
[ค่าเก่า www.spirent-lcs.com]
เปลี่ยนค่า port เป็น 7262.
[ค่าเก่า 7275]
5. กด Back กลับออกมาหน้าหลักของ LBSTestMode
6. Restart เครื่อง
7. กลับมาที่ Settings > Location & Security คราวนี้ติ๊กเขียวให้เมนู
"Use Wireless Networks"
ถ้าทำแล้วลองแล้ว ไม่เห็นมันจะดีขึ้นเลย อยากเปลี่ยนกลับคืนก้อ วนทำตั้งแต่ข้อ 1 ใหม่ครับ แต่เอาค่าที่ผมเขียนว่า ค่าเก่า
ใช้ app "GPS Test" ทดสอบสัญญาณได้ =)

credit:
story: http://pocketnow.com/tweaks-hacks/fix-for-samsung-galaxy-vibrant-captiva...
ภาพจาก: androidcentral.com
http://www.droidsans.com/node/3517

Get Android 2.2 Froyo on Your Galaxy S (Tutorial and Demo)


30 September, 201030 September, 2010 Samsung Samsung
Galaxy S running latest Froyo

We all that the updates to Android 2.2 Froyo for Samsung Galaxy S users has been delayed to October on Europe and in USA it has been delayed to November... So if you want to Get or Test the latest Froyo ROM update for Galaxy S with Many New Features and Very Stable too you can follow the tutorial below and Download and Install Latest Froyo ROM JP3 ROM in very simple instructions.


Info and Bugs

New Features
  1. Colored icons in settings menu
  2. Different toggles in notification bar
  3. Android market downloads work for me at home on Wi-Fi and they didn't before
  4. When you plug in your USB cable it shows a screen with a button to allow you to mount and unmount your SD card. This doesn't work at the moment.
  5. There are recent, contacts and group buttons under the To: field in a new text message
  6. Ability to Sync gmail contact groups with the phone
  7. Android 2.2 Froyo Features (Flash 10.1, New Menu... etc)

Issues
  1. SD card cannot be mounted from phone. You need to remove it to transfer things from your computer.
  2. Sometime lagging on some applications or launchers.
  3. Force closings from some system processes.



Froyo Performance on Galaxy S

Galaxy S Froyo



Downloads

I9000XXJP3 - ANDROID 2.2 Froyo ROM - 2010





Tutorial

This process is not necessarily safe and is done at your own risk. These builds are rather stable, but they do have a few bugs. You should follow the instructions for i9000XXJP3 carefully.

1. Please ensure that the phone can connect to the computer.

2. Unplug the phone, remove the SD card, Sim, Battery.

3. Reinstall the battery to the phone.

4. Press Volume - Home Key and Power on buttons all at the same time until the phone comes on in download mode.

5. Start Odin I9000 V3

6. Plug up the USB cable to the phone.

7. Allow the phone to connect to ODIN ( takes a few seconds)

8. Get The Galaxy (.PIT) file for Odin boot files and - Select the (.PIT) file you got.

9. Select the files you want to flash. (It is not recommended to flash boot files unless you are a technician)

10. Allow the flash to complete 100% and do not unplug the phone until the counter stops!
[Source : Samsung Flash Frimwares]

DONE!

After Installing

ROM Test


You can See a Demo Video Below of a successive installation of this ROM 




http://www.youmobile.org/blogs/entry/Get-Android-2-2-Froyo-on-Your-Galaxy-S-Tutorial-and-Demo-

samsung i9000 music player support all langauge

พอดีเจอปัญหา music player อ่านภาษาไทยไม่ออก

วิธีที่ทำให้ พวก music player ต่างๆไปเฉพาะsamsung galaxy s อ่านภาษาไทยออก
คือเปลี่ยน tag เป็น unicode โดยโหลด mp3tagมา

http://www.mp3tag.de/en/download.html

หลังจากนั้นก็กด save แค่นั้นจบ แต่มันจะไปทับfileเดิมนะฉะนั้นกรุณาใช้อย่างระมัดระวัง
http://community.siamphone.com/viewtopic.php?p=1187765&sid=fb6555c6e148639b510266c40d5fbaf6

Flurry Live Wallpaper



Android Live Wallpaper Style Mac!!!





อย่าทานยาแล้วนอนทันที ...

 



หลายๆคนป่วยจากการกินยา เม็ดแคปซูลกับน้ำอุ่นโดยที่ไม่รู้ว่ายาจะถึงกระเพาะก่อนละลายน้ำหรือไม่
เป็นเรื่องที่น่าคิดว่าคุณควรจะกินยาแบบไหนดี
คำแนะนำจาก แพทย์ - ยาเม็ดสามารถ ละลายด้วยน้ำเย็น หลังจากกลืนคุณควรดื่มน้ำตามมาก ๆ
- ควรทานยาก่อนนอน 30 นาที ไม่ควรทานยา แล้วนอนเลย เพราะยาอาจจะไม่ลงในกระเพาะ

ตัวอย่าง

ผู้ชายคนหนึ่งทานยา แอนตี้ไบโอติคส์และดื่มน้ำน้อยเกินไป
ยาจึงลงไปไม่ถึงกระเพาะ ยาค้างอยู่ที่ หลอดอาหารและเป็นเหตุให้! หลอดอาหารอักเสบ
หกวันผ่านไปเค้ากินได้แค่นมเย็นกับ อาหารเหลว และนอนโรงพยายาลอีก 5 วัน
แพทย์เตือน ว่าอาการอาจจะแย่ลงและอาจมีผลข้างเคียง สุดท้ายเกิดอาการไตวายเฉียบพลัน
และ เสียชีวิตหลังเข้าโ! รงพยาบาลเพียง 2 สัปดาห์

เพราะฉะนั้น ต้องระวัง เมื่อกินยา เม็ดหรือแคปซูล
อย่า ดื่มน้ำอุ่นหรือ น้ำร้อน &! nbsp;
น้ำผลไม้ หรือน้ำหวานทุกชนิดตามยาลงไป
ทางที่ดีควรดื่ม น้ำเย็น เท่านั้น
ถ้าคุณรู้สึกกระหายในลำคอหลังจากทาน ยา ให้ดื่มน้ำตามมาก ๆ และควรยืนหรือนั่งตัวตรงๆ
เมื่อทานยาอย่านอน ทันที

อาบน้ำด้วยสบู่เหลวตายเร็ว



ถ้าคุณชอบอาบน้ำด้วยสบู่เหลวละก้อ ควรอ่านบทความนี้... เดี๋ยว นี้สบู่เหลวได้รับ ความนิยมยิ่งขึ้น ด้วยเหตุผลของความสะดวกสบาย เป็นสำคัญ แต่คุณรู้ไหมว่า สบู่เหลวที่เราใช้กันอยู่นั้นไม่ใช่สบู่แต่ เป็นสารเคมีล้วนๆ สบู่เหลวที่ดีจริงๆจะต้องมีส่วนผสมของเนื้อสบู่อย่างน้อย 25% แล้วที่เหลือเป็นน้ำ แต่ความเป็นจริงแล้วไม่มีสบู่เหลวแบบนี้วางขายอยู่เลย เพราะผลิตภัณฑ์เกือบทุกชนิดที่วางขายอยู่นั้น เป็นแค่ใช้สารซักฟอกหรือดีเทอเจนผสมกับสารเคมีสังเคราะห์ อื่นๆ แล้วทำให้อยู่ในรูปของเหลว ซึ่งสารซักฟอก หรือดีเทอเจนก็คือสารเคมีหลัก ที่ใช้ในการผลิตแชมพู น้ำยาล้างจาน น้ำยาทำความสะอาดพื้น หรือแม้แต่น้ำยาทำความสะอาดห้องน้ำนั่นเอง จะผิดกันก็แต่ว่าความเข้มข้นของสารซักฟอก


ที่ ใช้ทำสบู่เหลวมีความเจือจางกว่าเท่านั้นผล กระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้สบู่เหลว คงไม่เกิดขึ้นในฉับพลันทันทีแต่จะสะสมเป็นปัญหาในระยะยาวได้ เพราะสารเคมีเหล่านี้จะแทรกซึมลงไปในผิวหนังอวัยวะ ภายใน และกระแสเลือดได้ทุกครั้งที่เราอาบน้ำ SLS หรือ โซเดียมลอริลซัลเฟตเป็นตัวอย่างหนึ่งของสารเคมีหลักที่มักใช้ในสบู่ คุณลองไปพลิกพวกผลิตภัณฑ์ซักล้างทุกอย่างดู จะเห็นส่วน ผสมนี้จริงๆ บางทีใช้ชื่อว่าลอริล) และเป็นสารเคมีอันตราย หลายประเทศในยุโรปและ อเมริกามีกฏหมายห้ามใช้ แล้ว และบางประเทศก็จำกัด ให้มีการใช้น้อยลง แต่ในบ้านเรากลับใช้กันอย่างแพร่หลาย ทั้งๆที่ SLS เป็นสารเคมีที่ดูดซึมผ่านผิวหนังได้ ง่ายและรวดเร็ว สามารถสะสมอยู่ในดวงตา สมอง หัวใจ ตับ และก่อปัญหาในระยะยาวหากยิ่งมีการใช้ร่วมกับ สารประกอบตระกูลอามีน ก็จะกลายเป็นสารก่อมะเร็งในที่สุด เพราะฉะนั้น เราอาจต้องถามตัวเองดูใหม่ ว่ามีความจำเป็นแค่ไหนที่จะต้องใช้สบู่เหลว ซึ่งจริงๆแล้วคือสารเคมีล้วนๆ แต่ถ้ายังคงต้องการที่จะใช้ การใช้สบู่เหลวสำหรับเด็กก็จะดีกว่า ไม่ได้หมายความว่าปลอดภัย เพียงแต่มีสารเคมีเจือ จางกว่าเท่านั้น) แต่ถ้าจะให้ดี การกลับไปใช้สบู่ก้อนจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

ข้อมูลจากวารสารเกษตรกรรมธรรมชาติ
กิตสุนี รุจิชานันทกุล
มูลนิธิ โครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ 413/38
ถ.อรุณ อัมรินทร์ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ 10700 โทร. 02-424-5768
http://www.npc-se.co.th/read/m_read_detail.asp?read_id=892&cate_id=2 

All Video Thumbnail

We have many videos with us and in many formats. There are so many video formats available today that sometimes it becomes very confusing as well. The most popular video formats are .avi, .wmv, .mpg but there are many others like .flv, .mp4 and .vob
While you can play avi and other formats directly, you need certain codecs to run flv and other video formats. The major problem linked with these video files is that while we can see the preview of a movie in avi extension in explorer, we are unable to see the thumbnail preview of these extensions .flv, .3gp etc.
Solution:

Method 1

But here is how you can make your videos in extensions like flv and 3gp to show thumbnail preview in the Windows Explorer just like the avi and wmv files.
1.    The following trick needs registry tweaking so you can either backup your registry or delete the key that you are just going to create.
2.    Open a notepad and copy and paste the following code as it is.
REGEDIT4
[HKEY_CLASSES_ROOT\.flv\ShellEx\{BB2E617C-0920-11d1-9A0B-00C04FC2D6C1}]
@=”{c5a40261-cd64-4ccf-84cb-c394da41d590}”


3.    Remember you need to copy the entire code and then save the file with any name but with .reg extension say abc.reg (If this don’t work then paste Windows
Registry Editor Version 5.00
before REGEDIT4 and try again)
4.    Double click this newly created file and click on yes afterwards.
5.    Congratulations, flv video files will show a thumbnail preview in the explorer.
Note:
Similarly, you can make the other video files like .3gp, .mp4, .mov or .vob to show thumbnail preview in the explorer. For that you just need to replace .flv with the extension you are making
Example:
REGEDIT4
[HKEY_CLASSES_ROOT\.mp4\ShellEx\{BB2E617C-0920-11d1-9A0B-00C04FC2D6C1}]
@=”{c5a40261-cd64-4ccf-84cb-c394da41d590}”

This will create a new registry key that will show the preview of the video file.
Update:

Method 2

If the above method doesn’t work for you then the following will. Download and install K-Lite codec pack in the computer (if you have already done it, then you can re-install the latest version).
While installing the pack there will be an option (see below)

checking which the preview of the thumbnails will be shown in the explorer without any tweak. Yes it is very simple.

I have win7 x64 so if you do too then you need to download the right K-Lite to have the right thumbnail options.
Find it here:
http://www.codecguide.com/klcp_64bit.htm

http://techsalsa.com/view-flv-3gp-and-other-video-thumbnails-in-explorer/

First of all, dump the k-lite mega pack. That simply doubles a lot of shit windows already decodes

Second, use the windows 7 codec pack
http://shark007.net/win7codecs.html

ลองใช้ Revo Uninstall ถอน K-lite Codecs Pack ออกให้หมดและ restart อีกที หลังจากนั้นให้ติดตั้ง Windows 7 Codecs Pack ลงไป (ถ้าหากว่าใช้ Windows 7 x64 ต้องติดตั้ง Component Addon 64 bit ลงไปด้วยอีกตัว) เมื่อติดตั้งเสร็จแล้วให้ไปโหลด Media Player Classic - Home Cinema (MPC- HC) โดยเมื่อแตกไฟล์ Zip แล้วให้เอา Folder ของโปรแกรมไปวางไว้ที่ไหนก็ได้ (แนะนำให้วางไว้ใน Program Files) หลังจากนั้นให้มาตั้งให้ MPC- HC เป็นโปรแกรมสำหรับเล่นไฟล์ Media โดยคลิ๊กขวาที่ไฟล์ประเภทนั้นๆ และเลือก Property และเลือกตรง Open with.. ให้เปิดด้วย MPC- HC ลองทำแบบนี้ดูนะครับ คิดว่าแค่นี้รูป Thumbnail น่าจะขึ้นได้แล้ว โดยปกติตั้งแต่ใช้งานมา Windows 7 Codecs จะไม่มีปัญหากับพวก Video Thumbnail และเมื่อมีปัญหาอะไรเรายังสามารถตั้งกระทู้ไปถามคุณ Shark007 ซึ่งเป็นผู้พัฒนา Codecs Pack นี้ได้ด้วย (เค้าตอบเร็วมากๆ เลยนะ ตั้งกระทู้ถามไม่ถึง 15 นาทีก็ได้รับคำตอบแล้ว คุยกับเค้าแล้วค่อนข้างได้ความรู้เกี่ยวกับพวก Codec เยอะเลยครับ)

That should work fine and generate thumbnail for just about everything in explorer

วิธีธรรมชาติแก้อาการอาหารไม่ย่อย









อาหาร ไม่ย่อยเกิดจากระบบย่อยอาหารทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ทำให้มีแก๊สในระบบย่อย และเกิดกรดเกินในกระเพาะ ทำให้เกิดอาการจุก เสียด แน่น บริเวณลิ้นปี่ สาเหตุของปัญหาที่พบบ่อยมีดังนี้
  • การย่อยทำงานไม่มีประสิทธิภาพ เกิดจากการรีบเร่งกินอาหาร รีบเคี้ยวรีบกลืน หรือกินอาหารปริมาณมากเกินไป ทำให้เสียเวลาในกระบวนการย่อยนาน เพราะเอนไซม์ในน้ำลายย่อยอาหารไม่ทัน นอกจากนั้นแล้วยังทำให้น้ำย่อยในกระเพาะหลั่งได้น้อยลงอีกด้วย
  • ความไวต่ออาหารบางประเภท เช่น อาหารจำพวกแป้งสาลี นม โดยเฉพาะอาหารที่มีเส้นใยมาก เพราะเป็นตัวดูดซับน้ำไว้ เมื่อพองตัวจะทำให้ท้องอืด เกิดอาการจุกแน่น
  • การออกกำลังกายเร็วเกินไปหลังกินอาหารก็ เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ เพราะทำให้เลือดที่ควรจะไปเลี้ยงระบบย่อยอาหารถูกดึงไปเลี้ยงกล้ามเนื้อแทน ทำให้เลือดไปเลี้ยงระบบย่อยไม่เพียงพอ
  • แก๊สในระบบทางเดินอาหารมาก เกิดจากการดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลและอัดแก๊สบางชนิด หรือการกินผลไม้หลังกินอาหารที่มีไขมัน เนื่องจากไขมันย่อยช้า ผลไม้จึงบูดก่อนที่จะได้ย่อย ทำให้เกิดแก๊สขึ้น
  • กรดเกินในกระเพาะ เกิดจากความเครียดมีผลกระตุ้นให้กล้ามเนื้อกระเพาะอาหารบีบรัดตัว ซึ่งเป็นการสร้างกรดในกระเพาะ นอกจากนี้การดื่มเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีนและแอลกอฮอล์ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้กรดในกระเพาะอาหารหลั่งมากขึ้น
ปรับนิสัยการกินแก้อาการอาหารไม่ย่อย

ลองปรับนิสัยการกินและเปลี่ยนอาหารบางอย่างดู อาจช่วยให้อาการอึดอัดแน่นท้องที่เป็นบ่อยๆ หายเป็นปลิดทิ้งได้

  • ไม่ควรกินอาหารให้อิ่มเกินไป เว้นช่วงมื้ออาหารให้ห่างกันนานกว่า 4 ชั่วโมง ควรกินอาหารมื้อสุดท้ายก่อนเวลานอนอย่างน้อย 3 ชั่วโมง
  • อย่าดื่มน้ำมากกว่า 1 แก้วระหว่างกินอาหาร
  • ควร เลิกกินอาหารที่ทำให้เกิดอาการแพ้ หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ควรกินในปริมาณน้อยๆ ก่อน ถ้าเป็นผู้สูงอายุที่กินได้น้อยหรือแพ้อาหารบางชนิดให้กินวิตามินและเกลือ แร่รวมเสริมได้
  • ลดการบริโภคเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอลล์ เครื่องดื่มที่มีน้ำตาลหรืออัดแก๊ส
นวดกดจุดเท้าบรรเทาอาการ
การกดจุดที่เชื่อว่าสัมพันธ์กับระบบย่อยอาหารโดยช่วยบรรเทาอาการ จุก เสียด แน่นได้ วิธีนี้ง่ายแสนง่าย เพราะไม่ต้องตระเตรียมอะไร ขอเพียงความเข้าใจที่ทำให้กดจุดถูกที่ถูกทาง เพียงเท่านี้ก็ช่วยให้ผ่อนคลาย สบายท้องได้แล้วค่ะ

  1. ใช้หัวแม่มือกดลงบนหลังเท้าตรงร่องเชื่อมนิ้วชี้และนิ้วกลาง บริเวณที่กระดูกมาบรรจบกัน คลึงนาน 2 นาที
  2. ใช้หัวแม่มือกดลงบนหลังเท้าตรงเนื้อที่เชื่อมนิ้วชี้และนิ้วกลาง
  3. ใช้มือขวาประคองเท้าซ้ายไว้ แล้วใช้นิ้วหัวแม่มือซ้ายกดกลางฝ่าเท้า รีดขวางไปตามฝ่าเท้าในแนวเส้นทะแยงมุม
  4. กดจุดฝ่ามือ ใช้นิ้วหัวแม่มือกดรีดตัดไปกลางฝ่ามือซ้ายตามแนวขวาง
หยูกยาจากธรรมชาติ
  • นำขิงสด 30 กรัม ชงในน้ำเดือด 500 มิลลิกรัม แช่ไว้ 1 ชั่วโมง แล้วกรองดื่มครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ แก้ท้องอืดและปวดท้อง
  • นำตะไคร้แก่สดๆ ทุบพอแหลกประมาณ 1 กำมือ (50-60 กรัม) ต้มเอาน้ำ แก้อาการแน่นจุกเสียด
  • ชงชา กะเพรา โดยต้มใบกะเพราและยอดสด 1 กำมือ ประมาณ 25 กรัม ในน้ำเปล่า 1 ลิตร ดื่มแทนน้ำ เพื่อช่วยบำรุงธาตุ ขับลม ลดอาการจุกเสียด ชากะเพรานี้เหมาะสำหรับขับลมในเด็ก
  • อาหารรสขมช่วยกระตุ้นให้น้ำย่อยออกมาทำงานได้ดี ลองกินมะกอก หรือชาสมุนไพรรสขมก่อนอาหารก็จะไม่มีอาการอึดอัดแน่นท้องตามมา
  • ผัก ผลไม้อย่างมะละกอ แอปเปิล ผักชีลาวมีเอนไซม์ช่วยย่อยอาหาร ส่วน กะหล่ำปลี แครอต พาร์สลีย์ และน้ำมันมะกอกชนิดพิเศษ ก็มีสรรพคุณเป็นยาลดกรด ลดการระคายเคือง ควรกินผักผลไม้เหล่านี้พร้อมอาหารเพื่อช่วยให้การย่อยอาหารมีประสิทธิภาพดี ขึ้น
รู้จักวิธีธรรมชาติที่จะช่วยคลายอาการอึดอัดท้องกันไปหลากหลายวิธีแล้ว วิธีไหนจะให้ผลชะงัด ต้องลองเอาไปใช้ดูค่ะ




   
        ที่มา : www.cheewajit.com : 27/มิ.ย./2550

'วิถีแห่งเซน' ของสตีฟ จอบส์ ซีอีโอแสนล้านค่าย Apple ยักษ์ใหญ่วงการคอมพิวเตอร์






แม้จะเป็นนักธุรกิจร่ำรวยระดับแสนล้าน แต่ไม่ว่าจะปรากฏกาย ณ ที่แห่งใด หรือแม้แต่ในงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ของ Apple คนทั่วไปมักชินตากับภาพ สตีฟ จอบส์ ในชุดแต่งกายเรียบง่าย สวมเสื้อยืดคอเต่าแขนยาวสีดำ ยี่ห้อ St. Croix กางเกงยีนส์ลีวายส์ รุ่น 501 และสวมรองเท้ากีฬายี่ห้อ New Balance รุ่น 992 เป็นประจำ จนกลายเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวของเขา
      
       สตีฟ จอบส์ หรือสตีเฟน พอล จอบส์ (Steven Paul Jobs) เป็นนักธุรกิจชาวอเมริกัน ซีอีโอใหญ่แห่งค่าย Apple Inc. ยักษ์ใหญ่ในวงการคอมพิวเตอร์ ผู้ผลิตเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเครื่องแรกของโลก รวมทั้งเป็น ผู้บริหารระดับสูงของค่ายพิกซาร์ แอนิเมชัน สตูดิโอ (Pixar Animation Studios)ด้วย
      
       กว่าจะถึงวันนี้ ชีวิตของซีอีโอใหญ่ได้เผชิญปัญหามานับครั้งไม่ถ้วน แต่ด้วยหลักธรรมคำสอนในพุทธศาสนานิกายเซน ที่เขาได้ศึกษาเรียนรู้ ช่วยให้เขาก้าวผ่านอุปสรรคทั้งปวงมาได้
      
       • ชีวิตช่วงแรก ไม่ได้ปริญญา แต่ได้วิชา
       เริ่มสนใจศึกษาพุทธศาสนา

      
       สตีเฟน พอล จอบส์ เกิดเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 1955 ที่เมืองซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เป็นบุตรนอกสมรสของนักศึกษาสาวมหาวิทยาลัย กับศาตราจารย์ทางด้านรัฐศาสตร์ มารดาแท้ๆ ยกเขาให้เป็นบุตรบุญธรรมแก่ครอบครัว “จอบส์” ซึ่งมีหัวหน้าครอบครัวเป็นช่างเครื่อง โดยขอสัญญาว่า บุตรชายของเธอจะต้องได้รับการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย
      
       เมื่อโตขึ้นจอบส์เข้าศึกษาต่อที่ Reed College ในเมืองพอร์ตแลนด์ รัฐโอเรกอน ได้เพียง 6 เดือน ก็ลาพักเรียน เพราะไม่เห็นความน่าสนใจของสิ่งที่เขาเรียนอยู่ แต่เขาก็กลับเข้าศึกษาใหม่อีก 1 ปีครึ่ง โดยลงเรียนเฉพาะ คอร์สที่เขาสนใจ เช่น การประดิษฐ์ตัวอักษร (ซึ่งภายหลังเขาได้นำไปใช้ประโยชน์ในการออกแบบตัวพิมพ์ของคอมพิวเตอร์ Macintosh) หลังจากนั้น เขาหยุดเรียนถาวรและไม่ได้ศึกษาจนจบมหาวิทยาลัยตามที่มารดาแท้ๆ ของเขาหวังไว้
      
       ในช่วงเรียนมหาวิทยาลัยนี้เองที่จอบส์เริ่มหันมาศึกษาพุทธศาสนา นิกาย เซน เขาสนใจอ่านวรรณกรรมทางพุทธศาสนาหลายเล่ม และหนังสือที่มีอิทธิพล สูงสุดกับเขาคือ Zen Mind, Beginner’s Mind ซึ่งเขียนโดยชุนริว ซูซุกิ กล่าวกันว่า หลังการศึกษาหลักธรรมของเซน จอบส์เริ่มมีความเชื่อว่า การหยั่งรู้โดยสัญชาตญาณนั้น ก่อให้เกิดปัญญา เขาจึงเริ่มฝึกสมาธิในห้องนอนแคบๆ ที่แชร์ร่วมกับ “แดเนียล คอตคี” เพื่อนสนิท ท่ามกลางกลิ่นธูป
      
       • ออกแสวงหาตัวตนที่แท้จริง
      
       ในปี 1974 จอบส์ ในวัย 19 ปี ได้ขอลาพักงานประจำ ที่เขาทำอยู่ในบริษัทเครื่องเล่นวิดีโอเกมส์ Atari เพื่อเดินทางไปอินเดีย เป็นเวลา 1 เดือน พร้อมกับเพื่อนรัก “แดเนียล คอตคี” เพื่อแสวงหาคำตอบเกี่ยวกับการรู้แจ้งเห็นจริงด้านจิตวิญญาณ และเมื่อเดินทางกลับสหรัฐฯ อีกครั้งหนึ่ง เขาได้กลายเป็นพุทธศาสนิกชน สวมเสื้อผ้าแบบอินเดียโบราณและโกนศีรษะ
      
       หลังจากนั้น เขาได้แวะเวียนไปที่ศูนย์เซน ลอส อัลทอส ในเมืองลอส อัลทอส รัฐแคลิฟอร์เนีย เป็นประจำ ที่นี่เขาเริ่มฝึกการบำบัดแบบกรีดร้องดังๆ และรับประทานผลไม้เป็นอาหาร และผลไม้ที่เขาโปรดปรานเป็นพิเศษก็คือ แอปเปิ้ล นั่นเอง
      
       ในปี 1976 ขณะอายุ 21 ปี จอบส์ได้เข้าทำงานกับบริษัทฮิวเลตต์-แพคการ์ด และเริ่มต้นศึกษาพุทธศาสนานิกายเซนอย่างจริงจังกับ “โกบุน ชิโนะ โอโตโกวะ” พระอาจารย์ชาวญี่ปุ่น ที่ศูนย์เซน ลอส อัลทอส (ซึ่งภายหลัง เมื่อจอบส์เข้าพิธีแต่งงานแบบเซน กับ “ลอรีน เพาเวล” ในวันที่ 18 มีนาคม 1991 พระอาจารย์โอโตโกวะได้มาเป็นประธานในพิธี)
       
       • เริ่มก่อตั้งบริษัท Apple
       ดีไซน์สินค้าด้วยแนวคิดเซน

      
       ในปี 1976 จอบส์และเพื่อนสมัยเรียนที่ชื่อ “สตีฟ วอซเนียก” ได้ร่วมกันก่อตั้งบริษัท Apple Computer ขึ้นที่โรงรถในบ้านของจอบส์ เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่จอบส์กับวอซเนียกได้นำเสนอออกสู่สายตา ได้แก่เครื่อง Apple I และเพียง 10 ปีให้หลัง Apple ก็เติบโตจากคนเพียง 2 คนกลายเป็นบริษัทใหญ่โตที่มีมูลค่า 2 พันล้านดอลลาร์ และพนักงานมากกว่า 4,000 คน!!
      
       จอบส์เคยกล่าวในการให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร Wired ของอเมริกาว่า “มีคำคำหนึ่งในศาสนาพุทธ คือ จิตของผู้เริ่มต้น มันเป็นสิ่งมหัศจรรย์อย่างยิ่งที่ทุกคนควรจะมีจิตของผู้เริ่มต้น” ซึ่งเขาอธิบายต่อไปว่า มันเป็นจิตที่มองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างตามความเป็นจริง ซึ่งค่อยๆทำให้เราตระหนักถึงแก่นแท้ของสิ่งเหล่านั้น จิตของผู้เริ่มต้น ก็คือการนำหลักการของเซนมาปฏิบัติจริง เป็นจิตบริสุทธิ์ที่ปราศจากอคติ การคาดหวัง การตัดสิน ความลำเอียงให้คิดว่า จิตของผู้เริ่มต้น เป็นเหมือนจิตของเด็กน้อย ซึ่งเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น ความสงสัย และความ ประหลาดใจ
      
       ด้วยความเชื่อดังกล่าว สตีฟ จอบส์ จึงนำแนวคิดแบบเซนมาใช้กับบริษัท Apple Inc ของเขา ในการออกแบบรูปลักษณ์และการใช้งานของสินค้าให้มีแนวทางบริสุทธิ์ ครบถ้วนสมบูรณ์ และง่ายต่อการใช้งาน
      
       • พบมรสุมชีวิต แต่พิชิตด้วยความรักในงาน

      
       เมื่อจอบส์อายุ 30 ปี หลังจากเพิ่งเปิดตัว Macintosh เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ดีที่สุดของตัวเองได้ปีเดียว เขาถูกไล่ออกจากบริษัทที่ตนเองเป็นผู้ก่อตั้ง หลังจากทะเลาะกับผู้บริหาร และกรรมการบริษัทก็เข้าข้างผู้บริหารคนนั้น
      
       เรื่องนี้เป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ในชีวิตของเขา จอบส์กล่าวว่า เขาได้สูญเสียสิ่งที่ได้ทำมาตลอดชีวิตไปในพริบตา ถึงกับคิดจะออกจากวงการคอมพิวเตอร์ไปชั่วชีวิต เขาไม่ได้ทำอะไรหลังจากนั้นอีกหลายเดือน
      
       แต่แล้วความรู้สึกอย่างหนึ่งก็สว่าง ขึ้นข้างในตัวของจอบส์ ซึ่งเขาค้นพบว่า ตัวเองยังคงรักในสิ่งที่ทำมาแล้ว ความล้มเหลวที่ Apple ไม่อาจเปลี่ยนแปลงความรักที่เขามีต่อสิ่งที่ได้ทำมาแล้วได้ ดังนั้น เขาจึงตัดสินใจเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด ซึ่งต่อมาเขาได้พบว่า การที่เขาถูกไล่ออกจาก Apple ได้กลายเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นในชีวิต เพราะภาระอันหนักจากการประสบความสำเร็จในอดีตที่เขาแบกไว้นั้น ได้ถูกแทนที่ด้วยความเบาสบายในการเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง ซึ่งช่วยปลดปล่อยเขาให้เป็นอิสระ นั่นก็คือเขาได้ปล่อยวางความสำเร็จเก่านั้นลง และเริ่มต้นใหม่ด้วยใจที่เบาสบาย เบิกบาน เป็นจิตของผู้เริ่มต้นอย่างที่เขาเคยบอกไว้นั่นเอง
      
       จอบส์กล่าวว่า ความล้มเหลวเป็นยาขม แต่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนไข้ เมื่อชีวิตเล่นตลกกับคุณ จงอย่าสูญเสียความเชื่อมั่นในสิ่งที่คุณรัก ดังนั้นคุณจะต้องหาสิ่งที่คุณรักให้เจอ เพราะวิธีเดียวที่จะทำให้คุณเกิดความพึงพอใจอย่างแท้จริง คือการได้ทำในสิ่งที่คุณเชื่อว่ามันยอดเยี่ยม และวิธีเดียวที่จะทำให้คุณสามารถทำสิ่งที่ยอดเยี่ยมได้ก็คือ คุณจะต้องรักในสิ่งที่คุณทำ และถ้าหากคุณยังหามันไม่พบ อย่าหยุดหาจนกว่าจะพบ และคุณจะรู้ได้เองเมื่อคุณได้ค้นพบสิ่งที่คุณรักแล้ว
      
       หลังจากนั้น เขาได้เริ่มตั้งบริษัทใหม่ชื่อ NeXT และ Pixar (ซึ่งขณะนี้เป็นสตูดิโอผลิตการ์ตูนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก) ได้สร้างภาพยนตร์การ์ตูนจากคอมพิวเตอร์เป็นเรื่องแรกของโลกนั่นคือ Toy Story
      
       ส่วน Apple ซึ่งไร้เงาของจอบส์นั้น ไม่ได้เฟื่องฟูขึ้นเลย ดังนั้นบริษัทฯจึงได้หันมาซื้อบริษัท NeXT เพื่อทำให้จอบส์ได้กลับคืนสู่ Apple อีกครั้ง รวมทั้งเทคโนโลยีที่เขาคิดค้นขึ้นที่ NeXT ก็ได้กลายเป็นหัวใจในยุคฟื้นฟูของ Apple
       
       • ใช้การเจริญมรณสติทุกวัน
       เป็นเครื่องมือช่วยการตัดสินใจในชีวิต

      
       เมื่ออายุ 17 ปี จอบส์ประทับใจข้อความหนึ่งที่เขาได้อ่านจากหนังสือ ซึ่งสอนให้ทุกคนมีชีวิตอยู่โดยคิดว่า วันนี้ เป็นวันสุดท้ายของชีวิต และตลอดชีวิตที่ผ่านมา เขาจะถามตัวเองในกระจกทุกเช้าว่า ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายในชีวิตของเขา เขาจะยังคงต้องการทำสิ่งที่กำลังจะทำในวันนี้หรือไม่ ถ้าหากคำตอบเป็น “ไม่” ติดๆ กันหลายวัน เขาก็รู้ว่า ถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องเปลี่ยนแปลง
      
       จอบส์เล่าว่า วิธีคิดว่าคนเราอาจจะตายวันตายพรุ่ง เป็นเครื่องมือที่สำคัญที่สุดเท่าที่เขาเคยรู้จักมา ซึ่งได้ช่วยให้เขาสามารถตัดสินใจครั้งใหญ่ๆ ในชีวิตได้ เพราะเมื่อความตายมาอยู่ตรงหน้า แทบทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความคาดหวังของคนอื่น ชื่อเสียงเกียรติยศ ความกลัวที่จะต้องอับอายขายหน้าหรือล้มเหลว จะหมดความหมายไปสิ้น เหลือไว้ก็แต่เพียงสิ่งที่มีคุณค่ามีความหมายและความสำคัญที่แท้จริงเท่า นั้น
      
       “วิธีคิดเช่นนี้ยังเป็นวิธีที่ดีที่สุด ที่จะช่วยให้คุณไม่ตกลงไปในกับดักความคิดที่ว่า คุณมีอะไรที่จะต้องสูญเสีย เพราะความจริงแล้ว เราทุกคนล้วนมีแต่ตัวเปล่าๆ ด้วยกันทั้งนั้น”

      
       จอบส์พูดถึงความตายว่า กลางปี 2004 เขาได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งตับอ่อนชนิดรุนแรงและไม่มีทางรักษา เขาจะมีอายุอยู่ได้ไม่เกิน 3-6 เดือน แพทย์ที่รักษาแนะนำให้เขากลับบ้านและจัดการสะสางภารกิจที่มีอยู่ให้เรียบ ร้อย ซึ่งความหมายก็คือให้ “เตรียมตัวตาย”
      
       แต่แล้วในเย็นนั้นเมื่อแพทย์ได้ตัดชิ้นเนื้อที่ตับอ่อน ไปตรวจอย่างละเอียด ผลปรากฏว่า เขาเป็นมะเร็งตับอ่อน ชนิดที่พบเพียงแค่ 1 เปอร์เซนต์ของผู้ป่วย ซึ่งรักษาได้ด้วยการผ่าตัด ในปี 2009 จอบส์เข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนถ่ายตับที่เมืองเมมฟิส รัฐเทนเนสซี่ และกลับไปทำงานที่ Apple อีกครั้ง หลังลาหยุดเป็นเวลา 6 เดือน
      
       ซีอีโอใหญ่ของ Apple กล่าวว่า นี่เป็นประสบการณ์เฉียดตายที่สุดของเขา ซึ่งทำให้เขาสามารถพูดได้เต็มปากยิ่งกว่าเมื่อตอนที่ใช้ความตายมาเตือนตัว เองเป็นมรณานุสติ และเมื่อผ่านห้วงเวลานั้นมาได้ เขาบอกว่าความตายคือประดิษฐกรรมที่ดีที่สุดของ “ชีวิต” ความตายคือสิ่งที่เปลี่ยนแปลงชีวิต เขาได้พูดถึงความตายไว้ว่า
      
       “ไม่มีใครอยากตาย แม้ว่าคนที่อยากขึ้นสวรรค์ ก็ไม่อยากตายเพื่อจะได้ไปที่นั่น แต่เราทุกคนต้องตาย ไม่มีใครรอดพ้นไปได้ ดังนั้นความตายก็คือตัวเปลี่ยนแปลงชีวิต มันจะกำจัดคนเก่าออกไป(ตาย) เพื่อเปิดทางให้คนใหม่ได้เข้ามา(เกิด) ตอนนี้คนใหม่ก็คือพวกคุณ แต่ในไม่ช้า พวกคุณก็จะค่อยๆแก่ และถูกกำจัดออกไป(ตาย) นี่คือหลักความจริง”
      
       จอบส์ได้เตือนว่า “เวลาของคุณจึงมีจำกัด และอย่ายอมเสียเวลามีชีวิตอยู่ในชีวิตของคนอื่น จงอย่ามีชีวิตอยู่ด้วยผลจากความคิดของคนอื่น และอย่ายอมให้เสียงของคนอื่นๆ มากลบเสียงที่อยู่ภายในตัวของคุณ และที่สำคัญที่สุดคือ คุณจะต้องมีความกล้าที่จะก้าวไปตามที่หัวใจคุณปรารถนาและสัญชาตญาณของคุณจะ พาไป เพราะหัวใจและสัญชาตญาณของคุณรู้ดีว่ คุณต้องการจะเป็นอะไร”
      
       ทุกวันนี้ จอบส์ในวัย 55 ปียังคงถือปฏิบัติตามแบบเซน ที่มีวิถีแห่งความเรียบง่ายแต่ลุ่มลึก และเขามักอ้างคำพูดของอาจารย์เซนหลายๆท่าน และหลักปรัชญาเซน ในระหว่างการแสดงสุนทรพจน์ในที่ต่างๆ
      
       9 บทเรียนทองของสตีฟ จอบส์
      
       9 คำพูดที่ดีที่สุดที่คัดเลือกมานี้ จะช่วยให้คุณทำงานได้สำเร็จตามสไตล์ซีอีโอแสนล้าน
       
       1. สตีฟ จอบส์ พูดว่า “นวัตกรรมเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างผู้นำและผู้ตาม”
      
       นวัตกรรมหรือวิธีการใหม่ เป็นสิ่งไร้ขีดจำกัด มีเพียงจินตนาการเท่านั้นที่มีขอบเขต ถึงเวลาแล้วที่คุณต้องเริ่มคิดนอกกรอบ ถ้าคุณทำงานในภาคธุรกิจที่กำลังเติบโต ต้องรู้จักคิดหาทางทำงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทำให้ลูกค้าพึงพอใจ และอยากจะทำธุรกรรมด้วย แต่ถ้าคุณอยู่ในธุรกิจที่กำลังหดตัว ต้องรีบออกมาจากธุรกิจนั้นโดยเร็ว และเปลี่ยนแปลงก่อนที่คุณจะกลายเป็นคนตกยุค ตกงาน หรือธุรกิจล่มสลาย และต้องจำไว้เสมอว่า คุณจะผัดวันประกันพรุ่งไม่ได้ ต้องเริ่มเปลี่ยนแปลงเดี๋ยวนี้
      
       2. สตีฟ จอบส์ พูดว่า “จงเป็นคนที่มีคุณภาพสูง คนบางคนไม่เคยชินกับการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่คาดหวังความเป็นเลิศ”
      
       ไม่มีหนทางลัดสู่ความเป็นเลิศ คุณจะต้องตั้งใจและให้ความสำคัญ ใช้ความสามารถ ทักษะ และพรสวรรค์ที่มี พยายามทำให้มากกว่าคนอื่น มีมาตรฐานสูงกว่า และใส่ใจในรายละเอียดที่ทำให้เกิดความแตกต่าง ความเป็นเลิศไม่ใช่เรื่องยาก แต่คุณต้องลงมือทำทันที แล้วคุณจะประหลาดใจในสิ่งดีๆที่เกิดขึ้นในชีวิต
      
       3. สตีฟ จอบส์ พูดว่า “วิธีเดียวที่จะทำงานให้ได้ผลดีเยี่ยม คือ คุณต้องรักในสิ่งที่ทำ ถ้าคุณยังไม่เจอสิ่งที่รักในตอนนี้ จงมองหาไปเรื่อยๆ อย่าด่วนสรุป เพราะมันเป็นเรื่องของหัวใจ คุณจะรู้ได้เอง เมื่อเจอสิ่งที่รัก”
      
       จงทำในสิ่งที่รัก มองหาอาชีพการงานที่ทำให้คุณมีจุดประสงค์ ทิศทาง และความพึงพอใจในชีวิต เมื่อคุณมีเป้าหมายและพยายามไปให้ถึง มันจะทำให้ชีวิตของคุณมีความหมาย ทิศทาง และความพอใจ ซึ่งไม่เพียงช่วยให้มีสุขภาพดีและอายุยืนยาว แต่ยังจะช่วยให้คุณรู้สึกดีขึ้นเมื่อต้องเผชิญอุปสรรค
      
       4. สตีฟ จอบส์ พูดว่า “คุณก็รู้ว่า อาหารส่วนใหญ่ที่เรากิน เราไม่ได้ผลิตด้วยตัวเราเอง เราสวมใส่เสื้อผ้าที่คนอื่นผลิต เราพูดภาษาที่คนอื่นพัฒนาขึ้น เราใช้คณิตศาสตร์ที่คนอื่นค่อยๆปรับปรุงมาเรื่อยๆ ผมหมายถึงว่า เราเป็นฝ่ายรับอยู่ตลอดเวลา ฉะนั้น คงเป็นความรู้สึกที่น่าปลาบปลื้มอย่างยิ่งที่เราสามารถสร้างสรรค์บางสิ่ง บางอย่าง ที่เป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ”
      
       จงใช้ชีวิตตามหลักศีลธรรม พยายามทำให้เกิดความแตกต่างบนโลกใบนี้และมีส่วนร่วมให้เกิดสิ่งที่ดีงามยิ่ง ขึ้น คุณจะพบว่า มันจะทำให้ชีวิตของคุณมีความหมายมากยิ่งขึ้น แถมยังเป็นยาแก้ความเบื่อหน่ายที่ได้ผลดีอีกด้วย ลองมองไปรอบๆตัว แล้วคุณจะพบว่า มีสิ่งต่างๆให้คุณทำอยู่เสมอ และจงพูดคุยกับผู้อื่นถึงสิ่งที่คุณกำลังทำ แต่อย่าพร่ำสอน หรือคิดว่าตัวเองถูกต้อง หรือหลงตัวเอง เพราะจะทำให้คนอื่นไม่อยากคุยด้วย ขณะเดียวกัน คุณต้องไม่กลัวที่จะทำตนเป็นตัวอย่าง และใช้โอกาสที่มี บอกเล่าถึงสิ่งที่คุณกำลังทำ
      
       5. สตีฟ จอบส์ พูดว่า “มีคำพูดในพุทธศาสนาว่า จิตของผู้เริ่มต้น มันเป็นสิ่งมหัศจรรย์อย่างยิ่งที่ทุกคนควรจะมีจิตของผู้เริ่มต้น” ซึ่งเขาอธิบายต่อไปว่า
      
       มันเป็นจิตที่มองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างตามความเป็นจริง ซึ่งค่อยๆทำให้เราตระหนักถึงแก่นแท้ของสิ่งเหล่านั้น จิตของผู้เริ่มต้น ก็คือการนำหลักการของเซนมาปฏิบัติจริง เป็นจิตบริสุทธิ์ที่ปราศจากอคติ การคาดหวัง การตัดสิน ความลำเอียง ให้คิดว่า จิตของผู้เริ่มต้น เป็นเหมือนจิตของเด็กน้อย ซึ่งเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น ความสงสัย และความประหลาดใจ
      
       6. สตีฟ จอบส์ พูดว่า “เราคิดว่า โดยทั่วไปแล้ว คุณดูโทรทัศน์เพื่อพักสมอง และคุณใช้คอมพิวเตอร์ เมื่อต้องการให้สมองทำงาน”
      
       ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา มีรายงานการศึกษาจำนวนมากที่ยืนยันหนักแน่นว่า การดูทีวีส่งผลเสียด้านจิตใจและมีอิทธิพลด้านศีลธรรม และคนที่ติดทีวีส่วนมาก แม้จะรู้ว่า มันทำให้ชินชาและเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ แต่ก็ยังใช้เวลาส่วนใหญ่นั่งอยู่หน้าจอสี่เหลี่ยม ดังนั้น จงปิดทีวีซะ เพื่อถนอมเซลล์สมอง แต่ต้องระวัง เพราะการใช้คอมพิวเตอร์ก็อาจเป็นการพักสมองได้เช่นกัน ลองเปลี่ยนมาเล่นเกมที่พัฒนาสติปัญญาดีกว่า
      
       7. สตีฟ จอบส์ พูดว่า “ผมสูญเงินไป 250 ล้านดอลลาร์ภายใน 1 ปี มันทำให้ผมรู้จักตนเองดีขึ้น”
      
       อย่ามองว่า การทำผิดกับความผิดเป็นเรื่องเท่าเทียมกัน เพราะคนที่ประสบความสำเร็จ โดยไม่เคยล้มเหลวหรือทำผิดเลยนั้น ไม่มีหรอก มีแต่คนที่ประสบความสำเร็จ เคยทำผิดพลาดและรู้จักเปลี่ยนแปลงแก้ไข เพื่อทำให้ถูกต้องในครั้งต่อไป พวกเขามองความผิดพลาดเป็นเครื่องเตือนสติ มากกว่าความสิ้นหวัง การไม่เคยทำผิดเลย แสดงว่า คนนั้นไม่เคยใช้ชีวิตอย่างเต็มที่
      
       8. สตีฟ จอบส์ พูดว่า “ในโลกนี้ไม่เคยมีใครที่ไม่เคยทำผิดพลาด เราเกิดมาบนโลกใบนี้แล้วก็ได้ทำสิ่งผิดพลาดเช่นกัน ไม่งั้นแล้ว เราจะเกิดมาทำไม”
      
       คุณรู้หรือไม่ว่า มีเรื่องใหญ่ๆหลายเรื่องที่ต้องทำให้สำเร็จในชีวิต และรู้หรือไม่ว่า เรื่องสำคัญเหล่านั้นจะถูกฝุ่นจับ เมื่อคุณใช้เวลามัวแต่นั่งคิดมากกว่าลงมือทำ เราทุกคนล้วนเกิดมาพร้อมของขวัญชิ้นหนึ่งที่จะมอบให้กับชีวิตของเราเอง ของขวัญที่เต็มไปด้วยความปรารถนา ความสนใจ ความหลงใหล และความอยากรู้อยากเห็น ของขวัญชิ้นนี้ แท้จริงแล้ว มันคือเป้าหมายของเรานั่นเอง และคุณตั้งเป้าหมายของคุณได้โดยไม่ต้องขออนุญาตใครทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้างาน ครู พ่อแม่ นักบวช หรือเจ้าหน้าที่ ก็ไม่อาจเลือกเป้าหมายให้คุณได้ คุณต้องหาจุดมุ่งหมายด้วยตัวคุณเอง
      
       9. สตีฟ จอบส์ พูดว่า “เวลาของคุณมีจำกัด จงอย่าเสียเวลาใช้ชีวิตตามแบบคนอื่น อย่าติดอยู่ในหลักความเชื่อ ซึ่งทำให้คุณใช้ชีวิตตามผลความคิดของผู้อื่น อย่ายอมให้เสียงความคิดของคนอื่น มากลบเสียงที่อยู่ภายในตัวของคุณ และทีสำคัญที่สุด คือ คุณต้องมีความกล้า ที่จะทำตามหัวใจปรารถนาและสัญชาติญาณ เพราะมันรู้ดีว่า จริงๆแล้ว คุณต้องการเป็นอะไร เรื่องอื่นๆกลายเป็นเรื่องรองไปโดยสิ้นเชิง”
      
       คุณเบื่อหรือเปล่าต่อการใช้ชีวิตตามความฝันของคนอื่น ไม่ต้องสงสัยเลย ก็มันเป็นชีวิตของคุณเอง คุณมีสิทธิใช้ชีวิตในแบบที่คุณต้องการ โดยไม่ต้องมีใครมาคอยขัดขวาง ลองให้โอกาสตัวเองฝึกความคิดริเริ่มในบรรยากาศที่ปราศจากความกลัวและแรงกด ดัน จงใช้ชีวิตตามแบบที่คุณเลือก และเป็นเจ้านายตัวเอง
      
       (จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 118 กันยายน 2553 โดย บุญสิตา)
http://www.manager.co.th/Dhamma/ViewNews.aspx?NewsID=9530000123541

My6Sense : รู้ใจเราว่าอยากอ่านอยากรู้อะไร!!?! | DroidSans :: Thailand Android Developer Community

My6Sense : รู้ใจเราว่าอยากอ่านอยากรู้อะไร!!?! | DroidSans :: Thailand Android Developer Community

My6Sense : รู้ใจเราว่าอยากอ่านอยากรู้อะไร!!?!

เบื่อๆเซ็งๆไม่มีอะไรอ่านมาลอง app นี้กันดู อีก app แจ่มๆน่าใช้น่าลองเพราะความฉลาดของมัน เพียงแค่เราเล่นๆมันไปซักพักให้ app ทำความรู้จักกับเราก่อนว่าเรามีความชอบอะไรบ้าง และหลังจากนั้นมันก็จะคอยหาเนื้อหาน่ารู้หรือที่เราน่าจะสนใจจาก twitter facebook หรือ feed มาถวายพานถึงบนมือถือเราทันที อเมซิ่งมั้ยล่ะ!! Laughing out loud

มันทำได้ไง??
My6Sense จะทำการเก็บข้อมูลจากการใช้งานผ่าน Twitter Facebook และ Feed Stream ของเราว่าเราอ่านอะไร ข้ามอะไร retweetอะไร shareอะไร อ่านfeedไหน ชอบcontentจากที่ใด แล้วเอาข้อมูลเหล่านี้มาประมวลผลศึกษาดูว่าเราน่าจะชอบเนื้อหาอะไรประมาณไหน และทำการเลือกเนื้อหาเหล่านั้นขึ้นมาแสดงให้เราอ่านกัน โดยโปรแกรมจะมีการจัดลำดับการเรียนรู้เอาไว้เป็นขั้นๆ ยิ่งเล่นมากอ่านมาก มันก็จะยิ่งเข้าใจเรามากขึ้น

เราสามารถเพิ่มเนื้อหาที่เราสนใจโดยให้ My6Sense เป็นคนจัดมาให้เราเองเลยก็ได้ที่ Streams --> (+) --> Topics --> เลือกหัวข้อที่เราสนใจได้เลย แต่เนื้อหาโดยหลักจะเป็นภาษาอังกฤษนะ

แนะนำสำหรับสาวๆ
ลองเพิ่ม Stream Topics เรื่อง fashion และ Street Spotters ดูนะ มีอัพเดทแฟชั่นเก๋ๆงามๆมาเพียบ

comment&bugs

  • ลองทนเล่นดูจนได้ Digital Intuition เพิ่มขึ้นมาก่อนนะถึงจะเริ่มเห็นผลกัน
  • เล่นตัวนี้แล้วได้เจอเนื้อหาหลายๆอย่างบน twitter และ facebook ดีๆที่ไม่ได้อ่านเพียบเลย
  • บางครั้งเนื้อหา refreshแล้วก็จะยังไม่ค่อยอัพเดทเท่าไหร่อยู่ดี เหมือนว่าจะยังไม่ฉลาดพอ
  • ถ้าเจอปัญหาการ authenticate ไม่ผ่าน หรือcontentซ้ำเดิมนานๆ ให้ลอง logout แล้ว signin เข้ามาใหม่ บางครั้งจะช่วยได้
  • support ภาษาอังกฤษซะมาก

ความเป็นส่วนตัว
ไม่ต้องห่วงนะครับเรื่องนี้ เพราะมันไม่เหลืออีกต่อไป 555 เล่นเอาข้อมูลทุกอย่างเราไปซะขนาดนี้ รู้หมดไส้หมดพุงแล้วมั้งนั่น Tongue แต่ถ้าไม่แคร์มาก คิดว่าต่อให้มันรู้ก็ทำอะไรไม่ได้ก็อย่าได้แคร์สื่อครับ ลุยใช้มันต่อไป เพราะเท่าที่ลองดูจนถึงวันนี้ มันช่วยให้ได้อ่านเนื้อหาอะไรดีๆที่ผมพลาดไปหลายอันแล้วครับ Smile

จัดไปอย่าให้เสียที่ Market

http://market.android.com/search?q=pname:com.my6sense.client.android

ติดตาม update โปรแกรมน่าสนใจบน android โดยผม @iGimme ได้ทุกวันที่ droidsans เลยนะครับ Smile

ลมในท้องมาก

เมื่อลมในท้องมาก



สามารถดูแลตัวเองได้

         การที่ลมในท้องมากอาจจะทำให้เกิดอาการท้องอืด แน่นท้อง ปวดมวนในท้อง ปวดท้องเป็นพักๆ เรอมาก ผายลมบ่อย เป็นต้น สาเหตุของลมในท้องที่มากนั้นเกิดได้จาก

          เกิดจากอาการทางประสาท โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเครียด ใครก็ตามที่ต้องทำงานใช้ความคิดมาก และต้องนั่งทำงานอยู่กับที่ตลอดเวลามักจะเสี่ยงต่ออาการท้องอืดและปวดท้องได้

          เกิดจากแก๊สในลำไส้ใหญ่มากกว่าปกติ ทั้งนี้เพราะว่าในร่างกายมีแบคทีเรียตัวร้ายมากเกินไป มันจะผลิตแก๊สขึ้นมามากจนลำไส้ใหญ่โป่ง และมีลมรบกวนอยู่ในท้อง ในขณะที่ปวดท้องเพราะลมมากนั้น เราสามารถช่วยตัวเองได้ด้วยการเอากระเป๋าน้ำร้อน ประคบหน้าท้องหรือจะกินยาถ่านกันมันต์ แอคติเวดเต็ดชาร์โค ช่วยดูดแก๊สในท้องให้หายอึดอัดก่อนก็ได้

วิธีการดูแลตัวเองในระยะยาว สามารถทำได้ดังนี้

                1. ถ้ารู้ตัวเองว่าอาการเครียดทำให้เกิดลมในท้องมาก ให้จัดเวลาออกกำลังกายทุกเย็นหลังเลิกงาน เพื่อระบายความเครียด เนื่องจากการออกกำลังกายหรือการเล่นกีฬามีส่วนช่วยให้ลำไส้เคลื่อนไหว และขับลมออกไปนอกร่างกายเราได้ด้วย

                2. ฝึกชี่กงระบายลม ขณะที่ฝึกชี่กงหากเราอยากผายลมไม่แนะนำให้กั้นไว้ ควรจะปล่อยให้มันผายออกมาได้เลย เพราะมันจะช่วยทำให้อาการอึดอัดและแน่นท้องหายไปเอง

     3. นวดหน้าท้อง โดยให้ผู้อื่นช่วยนวดให้ สามารถทำได้โดยการใช้มือสองมือกดลงไปตรงหน้าท้อง เริ่มจากดท้องด้านขวาส่วนล่าง ให้กดเป็นทิศทางตามเข็มนาฬิกาขึ้นไปยังท้องส่วนบน นวดขวางหน้าท้องแล้วเลี้ยวกลับลงมาทางด้านซ้าย วิธีการนี้เป็นการนวดลำไส้ใหญ่ เพื่อกระตุ้นให้มันขับลมออกมา

     4. ดื่มชาสมุนไพรหรือกินสมุนไพรที่มีฤทธิ์ขับลม สำหรับชาจะชงกับสมุนไพรแห้งหรือเอาสมุนไพรมาต้มกับน้ำก็ได้ ชาที่แนะนำได้แก่ ขิง ตะไคร้ กะเพรา (กะเพราแดงจะขับลมได้ดีกว่ากระเพราขาว) ชะพลู ดีปลี กานพลู พริกไทย กระวาน เร่ว ไพล ข่า และจันทน์เทศ เป็นต้น โดยเราสามารถนำมาทำเป็นกับข้าวหรือปรุงเป็นอาหารกินแก้ท้องอืดได้ดี

     5. ใช้โอลิโกพรุกโตส วันละ 1-3 กรัม เพื่อเข้าไปเลี้ยงบิฟิโดแบคทีเรียให้เพิ่มปริมาณ และลดจำนวนแบคทีเรียตัวร้ายที่สร้างแก๊สในลำไส้ แต่ควรเริ่มด้วยปริมาณน้อย ๆ ก่อน เช่นวันละ 1/2 - 1 กรัม เพราะคนที่มีลมในท้องมาก อาจจะไม่ชินกับมวลของอุจจาระที่เพิ่มมากขึ้น และอาจจะทำให้ปวดมวนท้องมากกว่าเดิม ถ้ามีอาการดังกล่าวให้ลดขนาดของโอลิโกกรุกโตส ที่ใช้ลง เมื่อชินแล้วก็ค่อยกินมากขึ้น


ยาขับลม แก้ท้องอืดแก๊สในกระเพาะ
คำถาม : มักมีอาการท้องอืด มีแก๊สในกระเพาะควรเลือกใช้ยาชนิดใด?

โรคท้องอืด หรืออาหารไม่ย่อย



โรคท้องอืด ท้องเฟ้อ หรืออาหารไม่ย่อย (dyspepsia) เป็นอีกโรคหนึ่งที่พบได้บ่อย เป็นอาการผิดปกติของ ท้องหรือลำไส้ มักมีอาการบริเวณตรงกลางของท้องด้านบน อยู่ระหว่างใต้ลิ้นปี่และเหนือสะดือ
ตัวอย่างอาการของโรคท้องอืด ได้แก่ ท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียด แน่นท้อง มีการบีบรัดของลำไส้ ท้องหลาม ตึงๆ อืดๆ มีลม หรือแก๊สในกระเพาะอาหาร เรอเหม็นเปรี้ยว และอาจมีอาการแสบร้อนบริเวณหน้าอกเหนือลิ้นปี่ และบางรายอาจมีคลื่นไส้ อาเจียน อิ่มเร็วร่วมด้วย ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอาการร่วมกันก็ได้


สาเหตุของโรคท้องอืด


สาเหตุส่วนใหญ่ของโรคท้องอืดเกิดจากอาหาร หรือพฤติกรรมการกิน เป็นสำคัญ รองลงมาคือโรคของระบบทางเดินอาหาร ยาบางชนิด แอลกอฮอล์ กาเฟอีน บุหรี่ เป็นต้น โรคท้องอืดกับการกินอาหารอาหารที่คนเรากินอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน และเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมของชาติ ถ้าไม่ถูกสุขลักษณะอนามัย ที่ดี ก็อาจทำให้เกิดอาการท้องอืดขึ้นได้ เริ่มตั้งแต่ชนิดของอาหาร (เพราะอาหารบางชนิดทำให้ท้องอืด แต่บาง ชนิดไม่ก่อให้เกิด) พฤติกรรมการกินอาหาร การกินลม เป็นต้น


ชนิดของอาหาร
" ชนิดของอาหาร " มีผลต่อท้องอืดโดยตรง เพราะอาหารบางชนิดก่อให้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ขณะที่อีกหลายชนิดไม่เป็นปัญหาท้องอืด ตัวอย่างอาหารที่ทำให้เกิดท้องอืด ได้แก่
o อาหารที่มีไขมันสูง เช่น แกงกะทิ ช็อกโกแลต เนย นม (โดยเฉพาะคนเอเชียที่ไม่เคยกินนมมานาน)
o อาหารรสจัด ไม่ว่าจะเปรี้ยวจัด หรือเผ็ดจัด
o อาหารที่ย่อยได้ยาก เช่น เนื้อสัตว์ กากใยอาหารบางชนิด

พฤติกรรม หรืออุปนิสัย ลักษณะการกินอาหาร

"พฤติกรรม หรืออุปนิสัย ลักษณะการกินอาหาร"
 ก็มีส่วนทำให้เกิดท้องอืดได้ เช่น เร่งรีบกินอาหาร เคี้ยวไม่ ละเอียด กินอาหารผิดเวลา กินอาหารจนอิ่มมากเกินไป หรือการล้มตัวลงนอนหลังจากกินอาหารเสร็จใหม่ๆ ล้วนเป็นลักษณะการกินอาหารที่ไม่ดี ทำให้เกิดท้องอืดได้
การกินลม
"การกินลม" (คนละความหมายของการนั่งรถ... กินลม...ชมวิว) หมายถึงการกลืนลมเข้าไปทางปาก และไหลลงไปในท้อง ทำให้กระเพาะอาหารมีแก๊สจำนวนมาก เกิดท้องอืดได้
ตัวอย่างการกินหรือกลืนลม ได้แก่ การพูดมากๆ (ลมเข้าปาก) การเคี้ยวหมากฝรั่ง การดูดลูกอมหรืออมยิ้ม การดูดนม ของเหลว หรือน้ำผ่านหลอดเล็กๆ การดื่มน้ำจากขวดปากแคบ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้กระเพาะอาหารมีลม หรือแก๊สมากขึ้นได้ทั้งสิ้น และทำให้ท้องอืดตามมาได้

ท้องอืดจากโรคของระบบทางเดินอาหาร 



โรคของระบบทางเดินอาหารหลายชนิดก็ทำให้เกิดอาการท้องอืด อาหารไม่ย่อย เช่น แผลกระเพาะอาหาร กรดจากกระเพาะอาหารไหลย้อนกลับเข้าไปในหลอดอาหาร (Gastro-esophageal Reflux Disease- GERD) กระเพาะอาหารอักเสบ มะเร็งกระเพาะอาหาร นิ่วถุงน้ำดี เป็นต้น


ท้องอืดจากยาบางชนิด แอลกอฮอล์ กาเฟอีน และบุหรี่


ยาที่เป็นสาเหตุโรคท้องอืดพบได้บ่อย คือยาลดการอักเสบชนิดที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (Non-steroidal Anti- inflammatory Drugs-NSAIDs) หรือเรียกตามชื่อย่อว่า เอ็นเสด เป็นยาที่มีฤทธิ์แก้อักเสบชนิดที่ไม่มีการติดเชื้อ ซึ่งมักใช้บรรเทาอาการอักเสบข้อ อักเสบกล้ามเนื้อ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และไข้ ตัวอย่างยากลุ่มนี้ เช่น แอสไพริน ไดโคลฟีแนก ไพร็อกซีแคม นาโพรซิน อินโดเมทาซิน เป็นต้น
ยากลุ่มนี้มีคุณสมบัติเป็นกรด ทำให้ระคายเคืองกระเพาะอาหาร มีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อย และถ้าใช้ยากลุ่มนี้ติดต่อกันนานๆ ก็อาจทำให้เกิดแผลกระเพาะอาหารได้ จึงขอบอกไว้ ณ ตอนนี้เลยว่าถ้าจำเป็นต้องใช้ยากลุ่มนี้ ก็ควรกินหลังอาหารทันที และใช้เมื่อจำเป็น หรือเมื่อมีอาการเท่านั้น ถ้าอาการทุเลาลงมาก หรือหายดีแล้ว ก็ไม่แนะนำให้ใช้ติดต่อกันโดยไม่จำเป็น เพราะมีผลเสียรุนแรง
นอกจากยาที่ทำให้ท้องอืดได้แล้ว เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ น้ำอัดลม โซดา เครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน (กาแฟ ชา) และบุหรี่ ก็ทำให้ท้องอืด และอาหารไม่ย่อยได้


การดูแลโรคท้องอืดเบื้องต้นด้วยตนเอง


จากสาเหตุต่างๆ ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ถ้าพบต้นเหตุและสามารถขจัดหรือหลีกเลี่ยงเสียได้ อาการท้อง อืดก็จะทุเลาหรือหายได้ ซึ่งมีวิธีการดูแลรักษาง่ายๆ ดังนี้
1. การหลีกเลี่ยงสาเหตุ ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินอาหาร ด้วยการรักษาสุขลักษณะการกินอาหารที่ดี เริ่มตั้งแต่การเลือกชนิดของอาหารที่ไม่มีปัญหาเรื่องท้องอืด อุปนิสัยการกินอาหาร และหลีกเลี่ยงการกินลม เช่น
o ควรหลีกเลี่ยงการกินอาหารผิดเวลา ด้วยการกินอาหารให้ตรงเวลา
o หลีกเลี่ยงการกินอาหารรสจัด มีไขมันสูง ย่อยยาก มีกากใยมากๆ นม เนย และประเภทโปรตีนสูง
o หลีกเลี่ยงการ " รีบกิน" การรีบเร่งกินอาหาร หรือเคี้ยวไม่ละเอียด ด้วยการกินช้าๆ พร้อมทั้งเคี้ยวและคลุกเคล้าอาหารให้เข้ากันดี ก่อนกลืนอาหาร
o ไม่ควรกินอาหารจนอิ่มมากเกินไป ควรลดปริมาณอาหารแต่ละมื้อลง และแบ่งเป็นมื้อย่อยๆ แต่กินบ่อยๆ แทนl หลังกินอาหารอิ่มใหม่ๆ ไม่ควรนอนราบทันที เพราะการนอนราบ ส่งผลให้ระดับของกระเพาะอาหารและหลอดอาหารจะอยู่ในระนาบเดียวกัน และอาจทำให้ กรดไหลจากกระเพาะอาหารย้อนกลับเข้าสู่หลอดอาหาร ได้ เกิดการระคายเคือง และหลอดอาหารอักเสบได้
o หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เหล้า เบียร์ น้ำอัดลม โซดา เครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน (กาแฟ ชา) และ "การกินหรือกลืนลมลงท้อง " เช่น การพูดมากๆ การกลืน น้ำลายบ่อยๆ การเคี้ยวหมากฝรั่ง การดูดลูกอมหรืออมยิ้ม การดูดนม ของเหลว หรือน้ำผ่านหลอด การดื่มน้ำจากขวดปากแคบ ด้วยการดื่มน้ำจากแก้วแทนการใช้หลอดดูด
o หลีกเลี่ยงการใช้ยากลุ่ม NSAIDs (เอ็นเสด) ติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆ ถ้าจำเป็นต้องใช้ยากลุ่มนี้ ควรปรึกษาแพทย์นอกจากนี้ ควรรักษาสุขภาวะที่ดี ด้วยการออกกำลังกาย ผ่อนคลายความตึงเครียด และพักผ่อนให้เพียงพอ


2. ยาขับลม แก้ท้องอืดยาที่ใช้รักษาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ มีมากมาย เช่น ยาธาตุน้ำแดง ยาธาตุน้ำขาว ยาขับลม ไดเมทิโคน ไซเมทิโคน ก๊าสเนป ยาลดกรด โซดามิ้นต์ เมโทรโคลพาไมด์ ดอมเพอริโดน เป็นต้น ยาเหล่านี้จะช่วยบรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อย ได้ผลดี


3. สมุนไพรไทยสมุนไพรไทยหลายชนิด ซึ่งรวมถึง " ยาหอม " จะช่วยบรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ได้ผลดี เช่น ขิง น้ำขิง ขมิ้นชัน กานพลู ชะพลู พริกไทย กะเพรา ดีปลี กระเทียม เปล้าน้อย ลูกกระวาน เกล็ดสะระแหน่ เป็นต้น


ท้องอืดร่วมกับอาการผิดปกติอื่นๆ 


ถ้าอาการท้องอืดไม่รุนแรง อาการทุเลา หายได้ด้วยเอง หรือจากการดูแลรักษาทั้ง 3 ประการคือ ปรับอาหารการกิน ยา ยาหอม หรือสมุนไพรที่มีฤทธิ์ขับลม แก้ท้องอืด ก็คงไม่เป็นปัญหา
รายที่มีอาการผิดปกติอื่นร่วมด้วย เช่น มีอาการติดต่อกันนานๆ น้ำหนักตัวลดลงอย่างรวดเร็ว ซีด อุจจาระดำ อาเจียน กลืนอาหารไม่ได้ ตัวเหลือง ตาเหลือง การถ่ายอุจจาระผิดปกติ เหลว หรือแข็งเกินไป ท้องผูกหรือท้องเสียเป็นประจำ มีอาการปวดร้าวและรุนแรงไปด้านหลัง ปวดบริเวณชายโครงด้านขวา หรือ ผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไปที่เพิ่งเริ่มมีอาการ

ถ้ามีอาการเข้าข่ายตามนี้ ควรไปปรึกษาแพทย์ เพราะอาจมีโรคอื่นๆ ในช่องท้องอีกหลายโรค นอกเหนือจากท้องอืด ท้องเฟ้อ ที่จะต้องได้รับการดูแล รักษาอย่างเหมาะสมและทันเวลา มิฉะนั้นอาจเกิดอันตรายได้ เพราะอาการรุนแรงผิดปกติเหล่านี้อาจ เป็นอาการเริ่มต้นของโรคผิดปกติของระบบทางเดิน อาหารได้ เช่น แผลกระเพาะอาหาร นิ่วถุงน้ำดี มะเร็ง กระเพาะอาหาร โรคลำไส้แปรปรวน เป็นต้น
http://www.dlfp.in.th/paper/150


ก๊าซในทางเดินอาหาร

ก๊าซในทางเดินอาหารเป็นหัวข้อที่ไม่ค่อยได้กล่าวถึงเนื่องจากอาการเป็นไม่มาก หายเองได้ แต่ก่อให้เกิดความรำคาญแก่ผู้ที่เป็น ปกติเราสามารถขับก๊าซส่วนเกินโดยการขับออกทางปากและขับทางก้น หากก๊าซนั้นไม่ถูกขับออกจากร่างกาย จะทำให้มีการสะสมไว้ในทางเดินอาหารสำหรับบางคนที่ไวก็อาจจะเกิดอาการท้องอืดแม้ว่าจะมีก๊าซไม่มาก


ก๊ายในทางเดินอาหารหากมีมากจะถูกขับทางโดยการผายลม ก๊าซในระบบทางเดินอาหารเกิดจากการที่เรา

สาเหตุของก๊าซในทางเดินอาหาร
ได้รับจากการกลืนเข้าไป
ผู้ที่มีความเครียด
เคี้ยวหมากฝรั่ง
มีน้ำมูกไหล
สูบบุหรี่
การกลืนอาหารเร็วไปไม่เคี้ยวอาหารให้ละเอียด
ฟันปลอมที่ไม่พอดี
เครื่องดื่มที่มี carbonated จะทำให้เกิดก๊าซ
เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่อยู่ในลำไส้

อาหารที่ย่อยไม่หมดโดยเฉพาะอาหารพวกแป้งที่มีใยอาหารจะไม่ถูกย่อย เมื่อผ่านไปถึงลำไส้ใหญ่เชื้อแบคทีเรียจะย่อยสลายทำให้เกิดก๊าซ นอกจากนั้นน้ำตาลที่อยู่ในนมหากร่างกายไม่ย่อยก็ทำให้เกิดก๊าซมาก
ได้แก่อาหารพวก กะหล่ำปี ดอกกำหล่ำ ถัว บรอคโคลี หอมใหญ่ หน่อไม้ฝรั่ง ข้าวสาลี wheat, ข้าวโอ๊ต oats, มันฝรั่ง potatoes เนื่องจากอาหารเหล่านี้มีใยอาหาร และแป้งมากมำให้ลำไส้เล็กดูดไม่หมด อาหารเหลือไปยังลำไส้ใหญ่เกิดการหมักทำให้เกิดก๊าซ
อาหารที่มีใยอาหารมาก เช่นเมล็ดธัญพืช ข้าวโอ๊ต ผักและผลไม้ ทำให้เกิดอาการท้องอืด แต่หลังจาก 3 สัปดาห์จะปรับตัวได้ แต่บางคนอาการท้องอืดและมีก๊าซจะเป็นตลอด
นม ลำไส้บางคนขาดเอ็นไซม์ในการย่อยนม เมื่อดื่มนมจะทำให้ท้องอืด ลองงดนมอาการท้องอืดจะดีขึ้น

สาเหตุของการเรอบ่อย
การที่เราเรอส่วนหนึ่งเกิดจากสาเหตุที่มีปริมาณก๊ายในกระเพาะมากทำให้กระเพาะขยายจึงเกิดอาการแน่นท้อง แต่บางท่าเรอจนติดเป็นนิสัยแม้ว่าปริมาณก๊าซในกระเพาะจะไม่มาก สาเหตุที่พบได้บ่อยๆได้แก่
มีการไหลย้อนของกรดจากกระเพาะไปยังหลอดอาหาร ปกติเมื่อเรากลืนอาหารจะผ่านจากหลอดอาหารไปยังกระเพะอาหารซึ่งมีหูรูดกันไม่ให้กรด และอาหารไหลย้อนไปยังหลอดอาหาร เมื่อมีปัจจัยส่งเสริมทำให้หูรูดหย่อน กรดและอาหารจะไหลย้อนไปยังหลอดอาหารทำให้เราต้องกลืนบ่อย ลมจึงเข้าไปมาก
มีการอักเสบหรือแผลที่กระเพาะอาหาร
วันหนึ่งรางกายผลิตก๊าซเท่าใด
วันหนึ่งๆร่างกายเราจะผลิตก๊าซวันละ ครึ่งแกลลอนซึ่งมีส่วนประกอบที่สำคัญคือ Oxygen, carbon dioxide, และ nitrogen เหมืออากาศ ไม่มีกลิ่น แต่ที่มีกลิ่นเนื่องจากหมักหมมของอาหารที่ลำไส้ใหญ่ทำให้เกิดก๊าซ hydrogen sulfide, indole, and skatole
อาการแน่นท้อง
อาการแน่นท้องเป็นอาการที่พาผู้ป่วยไปพบแพทย์
อาการแน่นท้องไม่จำเป็นต้องเกิดจากก๊าซในทางเดินอาหารแต่อาจจะเกิดจากสาเหตุอื่นๆเช่น
อาหารมัน ซึ่งจะทำให้ลำไส้เคลื่อนไหวช้า เกิดอาการแน่นท้อง การแก้ไขทำได้โดยลดอาหารมัน
เกิดจากการรับประทานอาหารมากเกินไป
ผู้ป่วยบางคนมีก๊าซไม่มากแต่มีอาการปวดท้องเนื่องจากลำไส้ของผู้ป่วยไวต่อการกระตุ้นทำให้เกิดอาการเกร็งของลำไส้ spasm
ผู้ป่วยบางคนพยายามที่จะเรอเอาลมออก แต่การกระทำดังกล่าวกลับทำให้กลืนลมเพิ่มขึ้น ทำให้แน่นท้องเพิ่มขึ้น
ก๊าซที่สะสมในลำไส้ใหญ่ข้างซ้ายอาจจะทำให้เกิดอาการปวดเหมือนกับโรคหัวใจ
หากเราเรอแล้วอาการแน่ท้องดีขึ้นก็แสดงว่าอาการแน่นท้องเกิดจากก๊าซ แต่หากอาการแน่นท้องไม่ดีขึ้นท่านต้องไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุของอาการแน่นท้อง
อาการท้องอืดและท้องบวม
ท่านผู้อ่านคงจะเคยมีอาการรู้สึกแน่นท้อง บางคนจะรู้สึกตึงๆในท้อง บางคนจะรู้สึกเหมือนอาหารไม่ย่อย บางคนมีอาการเสียดท้อง หากเราทราบสาเหตุและได้รับการแก้ไขอาการจะดีขึ้น แต่อาการแน่นท้องก็อาจจะเป็นอาการของท้องบวมซึ่งอาจจะเป็น
น้ำ
ลม
เนื้อเยื่อ เช่นเนื้องอก
ดังนั้นหากอาการแน่นท้องเป็นอาการเรื้อรัง และเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ หรือเป็นมากต้องให้แพทย์ตรวจหาสาเหตุของอาการท้องอืด
สาเหตุของอาการท้องอืด
สาเหตุของอาการท้องอืดที่พบบ่อยๆได้แก่
มีลมในทางเดินอาหารมากไป ซึ่งอาจจะเกิดจากร่างกายของคนนั้นมีเชื้อที่สร้างก๊าซมากกว่าคนอื่น หรือเกิดจากการที่อาหารไม่ย่อย หรือเกิดจากร่างกายมีเชื้อแบคทีเรียในลำไส้มากไป
ลำไส้มีการอุดตันทำให้ก๊าซไม่สามารถไปลำไส้ใหญ่ เช่น ไส้เลื่อนที่อุดตัน ผังผืดในท้องรัดลำไส้เป็นต้น ผู้ที่มีโรคดังกล่าวจะมีอาการปวดท้อง ท้องอืด อาเจียน
ลำไส้เคลื่อนไหวน้อยกว่าปกติ เช่นผู้ป่วยโรคเบาหวาน ลำไส้แปรปวน อาหารที่มัน หรือมีกากมาก
ผู้่วยที่มีลำไส้ไวต่อการกระตุ้น แม้ว่าก๊าซในลำไส้อาจจะไม่มากแต่ผู้ป่วยจะมีอาการแน่นท้อง
การตรวจวินิจฉัย
ประวัติการเจ็บป่วย
เมื่อท่านไปพบแพทย์ท่านจะต้องเตรียมประวัติของการเจ็บป่วย
อาการแน่นท้องเป็นอย่างต่อเนื่องหรือเป็นๆหายๆ หากเป็นอย่างต่อเนื่องต้องตรวจหาสาเหตุ
อาการแน่นท้องสัมพันธ์กับการผายลมหรือไม่ หากมีความสัมพันธ์แสดงว่าเรามีก๊าซในท้องมาก
ประวัติการรับประทานอาหารที่สัมพันธ์กับอาการแน่นท้อง
การ``X-ray
แพทย์อาจจะส่งตรวจX-ray ท้องหรืออาจจะนัดตรวจ ultrasound ซึ่งขึ้นกับอาการและการตรวจร่างกาย
การป้องกันก๊าซ
ข้อแนะนำสำหรับท่านที่ผายลมบ่อยหรือเรอบ่อย
หลีกเลี่ยงน้ำดื่มที่มีฟองฟู่ เช่นโซดา เบียร์ carbonated beverages ให้ดื่มน้ำมากๆ
หลีกเลี่ยงนม หากท่านขาดเอ็นไซม์ในการย่อยนม
หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้เกิดก๊าซ กะหล่ำปี ดอกกำหล่ำ ถัว บรอคโคลี หอมใหญ่ หน่อไม้ฝรั่ง ผลไม้เช่น แอปเปิล แพร์
ให้ออกกำลังกาย
ลดการกลืนลมโดยวิธีการต่อไปนี้
รับประทานให้ช้า และเคี้ยวอาหารให้ละเอียด
หลีกเลี่ยงการเคี้ยวหมากฝรั่งและลูกอม
หยุดสูบบุหรี่
ตรวจฟันปลอมว่ามีขนาดพอดีหรือไม่
การใช้ยารักษา
ท่านอาจจะซื้อยาที่มีขายตามร้านขายาแต่อาจจะได้ผลไม่ดีได้แก่ Simethicone, ผงถ่าน, และยาช่วยย่อยอาหาร

ทำไมเรานอนไม่หลับ ?
มีบ้างไหมที่ท่านนอนไม่หลับ พอท่านไปร่วมประชุม นั่งสัปหงก หรือ ขณะขับรถรถติดปุ๊บหลับผล๊อยเลย หรือ บ่อยครั้งที่หลับขณะนั่งดูตลกหรือเกมส์โชว์ หากท่านเคยแสดงว่า ท่านเสี่ยงต่อการเป็นโรคนอนไม่หลับหรือหลับไม่พอแล้ว
ข้อแนะนำจาก ข่าวสารกรมสุขภาพจิต ISSN 0125-6475 ในเรื่อง อาการนอนไม่หลับ จะพบมากในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ในทางจิตวิทยาอธิบายได้ว่า ผู้หญิงจะมีเรื่องคิดวิตกกังวลมากกว่าผู้ชาย
ดังนั้นจึงแบ่งลักษณะอาการนอนไม่หลับ ออกเป็น 3 ประการ ตามลักษณะสาเหตุดังนี้
1.นอนไม่หลับชั่วคราว(Transient insomnia) มักพบในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงชีวิตประจำวัน หรือ สิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะคนที่ต้องเดินทางไปต่างประเทศ เฉพาะร่างกายจะขาดสมดุลจากการปรับเปลี่ยนกระทันหัน
2.นอนไม่หลับระยะสั้น(Shot-term insomnia) มักเป็นแค่ 2-3 วัน จนถึง 3 สัปดาห์ มักพบในภาวะเครียด วิตกกังวล เช่น ผู้ป่วยก่อนผ่าตัด หรือคนที่สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก
3.นอนไม่หลับเรื้อรัง(Long-term insomnia) อาจเป็นเดือน หรือเป็นปี อาจเป็นผลมาจากการใช้ยานอนหลับ การเจ็บป่วยเรื้อรัง
ผลการวิจัยเกี่ยวกับการนอนไม่หลับ จากมหาวิยาลัยมหิดล ระบุว่า สาเหตุหลักของอุบัติเหตุบนท้องถนนที่นอกเหนือจากการเมาแล้วพบว่า 20 % เกิดจากการหลับใน การที่อดนอนมากๆมีผลเท่ากับการดื่มเหล้าจนเมาเลยทีเดียว เพราะการนอนไม่พอทำให้สมองเบลอ ประสิทธิภาพในการคิด ตัดสินใจลดลง นอนไม่หลับมีผลกระทบต่อชีวิตประจำวันมากกว่าที่คิด มาลองสำรวจสุขอนามัยการนอนกันดูสิว่า ท่านมีสุขอนามัย ด้านใดที่ต้องปรับปรุงบ้าง
1.ตื่นและนอนไม่เป็นเวลา
2.คืนวันศุกร์ ขอเที่ยวสนุกให้เต็มที่ แล้วควรชดเชยด้วยคืนวันเสาร์
3.งีบหลับในช่วงกลางวัน
4.ดื่มกาแฟและสูบบุหรี่ หลังเที่ยงวันไปแล้ว
5.รับประทานอาหารมื้อใหญ่ ดื่มน้ำหรือเครื่องดื่มมากๆก่อนเข้านอน 2 ชั่วโมง
6.นำปัญหาต่างๆมาทบทวน ขบคิดก่อนเข้านอน
7.ซื้อยานอนหลับมารับประทานเป็นประจำ
ผลสำรวจหากท่านมีพฤติกรรมข้องหนึ่งข้อใดในเจ็ดข้อ แสดงว่าท่านมีสุขอนามัยในการนอนที่ไม่ถูกต้อง ควรรีบปรับปรุงด่วนเลย ก่อนที่ท่านจะเป็นโรค"นอนไม่หลับ"
ข้อแนะนำต่อไปนี้ จะช่วยท่านปรับปรุงสุขอนามัยในการนอนได้เป็นอย่างดี ท่านลองพิจารณาเลือกข้อที่ได้ผลดีสำหรับตัวท่าน อย่าลืมว่า ท่านจะมีการตอบสนองที่ต่างกัน ถ้าหากท่านปฎิบัติแล้วจะรู้สึกว่า เมื่อตื่นนอนไม่มีอาการเพลีย และ รู้สึกกระปรี้กระเปร่า นั้นแสดงว่า ท่านนอนหลับพักผ่อนได้เพียงพอแล้ว
ข้อแนะนำจาก ข่าวสารกรมสุขภาพจิต ISSN 0125-6475 ในเรื่อง"ข้อแนะนำ 8 ประการที่ผู้นอนไม่หลับควรนำไปปฎิบัติ" ดังนี้
1. ตรงเวลา ร่างกายของเรามีนาฬิกาชีวภาพ(Biological Clock) ที่เป็นตัวกำหนดให้ง่วงและตื่นนอนให้เป็นเวลา การทำอะไรให้ตรงเวลา เช่น การเข้านอน - ตื่นนอน จะทำให้ร่างกายไม่ต้องปรับตัวมากเกินไป ซึ่งเป็นสาเหตุของการนอนหลับยาก
2.นอนกลางคืน คนเราควรนอนกลางคืน(ถ้าไม่ติดเงื่อนไขในอาชีพ) ไม่ควรนอนกลางวันมากเกิน 1 ชั่วโมง โดยเฉพาะหลังการนอนกลางวันมากๆจะทำให้กลางคืนนอนไม่หลับ
3.หลีกเลี่ยงกาแฟอีน - นิโคตินและแอลกอฮอล์ ท่านควรงดดื่มกาแฟ-สูบบุหรี่หลังเที่ยงวันไปแล้ว เนื่องจากนิโคตินมีฤทธิ์กระตุ้นปราสาท การดื่มแอลกอฮอล์ช่วยให้หลับง่ายขึ้นก้อจริง แต่จะมีผงต่อสุขภาพของการนอน เนื่องจากคนที่หลับจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ ช่องทางเดินหายใจจะหย่อน เกิดอาการกรน บางครั้งมีภาวะหยุดหายใจเป็นพักๆ(Sleep apnia)ทำให้หลับไม่สนิท
4.อย่ารับประทานเยอะ การรับประทานอาหารในงานเลี้ยงสังสรรค์ ทำให้ต้องรับประทานอาหาร-เครื่องดื่มมากๆ เมื่อกลับมานอนทันที จะมีผลต่อระบบการย่อยอาหาร พราะอาหารในกระเพาะจะขย้อนขึ้นสู่หลอดอาหาร ทำให้แน่นท้อง แน่นหน้าอก การดื่มเครื่องดื่มมากๆก็มีผลต่อการนอนเช่นกัน เพราะต้องตื่นขึ้นมาเข้าห้องน้ำบ่อยๆในกลางดึก
ทางแก้ คือ ควรนอนหลับรับประทานอาหารไปแล้วสัก 2 ชั่วโมง ปรับหัวเตียงให้สูงกว่าปลายเตียง นอนตะแคงขวา เพื่อให้อาหาร-น้ำ-ลมในกระเพาะใหล่ลงสู่ลำไส้เล็กได้ดีขึ้น
5.ออกกำลังกาย เป็นวิธีที่จะทำให้หลับง่ายและหลับได้ลึก ทำให้หายเหนื่อยและกระปรี้กระเปร่า เวลาที่ดีที่สุดของการออกกำลังกาย คือ ต่อนบ่าย ไม่ควรออกกำลังกายก่อนนอน เนื่องจากอุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้น เป็นอุปสรรคต่อการนอน ทำให้หลับยาก
6.มืด และ เงียบ ห้องนอนควรมืด และเงียบไม่มีเสียงรบกวน อุณหภูมิพอเหมาะ ไม่ร้อนและเย็นเกินไป หากท่านนอนไม่หลับ ภายใน 15 นาที อย่าพยายามข่มตา ให้ลุกขึ้นมาทำอะไรก็ได้จนกว่าจะรู้สึกอ่อนเพลีย แล้วค่อยกลับไปนอนใหม่ อย่ากังวลว่า นอนไม่หลับเพราะ ความกังวลจะทำให้หลับยาก
7.ผ่อนคลาย ก่อนนอนควรหากิจกรรมที่ช่วยให้ผ่อนคลาย เช่น อาบน้ำอุ่น นวดมือและเท้าด้วยโลชั่น สวมถุงเท้า เพื่อให้ร่างกายอบอุ่นขณะนอน และไม่ควรนำปัญหาต่างๆมาขบคิดขณะเข้านอน ควรทำจิตใจให้ว่างสบายๆ
8.ยานอนหลับ ไม่ควรใช้ยานอนหลับเป็นอันขาด ยกเว้นมีความจำเป็นและการใช้ต้องอยู่ในพินิจของหมอ พึงระลึกเสมอว่า การใช้ยานอนหลับเป็นครั้งคราวอาจเป็นประโยชน์ แต่ต้องทานติดต่อกันจะไม่ผลดีต่อร่างกาย
หลังจากที่ท่านสำรวจสุขอนามัยในการนอนและลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมดูแล้ว เชื่อแน่ว่าหลายท่านคงจะรู้สึกกระปรี้กระเปร่าไม่มีอาการอ่อนเพลีย เมื่อตื่นนอน นั่นแสดงว่า ท่านไม่มีปัญหาเรื่อง การนอนอีกต่อไป เป็นผลดีต่อสุขภาพกาย-จิตใจอีกด้วย แต่สำหรับคนที่ปฎิบัติแล้วยังนอนไม่หลับ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพราะการนอนไม่หลับต้องหาสาเหตุและรักษาให้ตรงจุด.
จากบทความ"ชีวิตและสุขภาพ"โดย นพ.สุรพงศ์ อำพันวงศ์ 7 ต.ค. 50
...............................................

นอนไม่หลับ




ความต้องการในการนอนหลับพักผ่อนของแต่ละคนนั้นไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ได้แก่ อายุ สภาพร่างกาย และสุขภาพโดยทั่วไป ตัวอย่างเช่น คนที่มีอายุน้อยจะต้องการนอนหลับพักผ่อนมากกว่าผู้สูงอายุ สภาพร่างกายคนบางคนพักผ่อนน้อยก็สดชื่นทำงานได้ดี และในคนที่สุขภาพไม่ดีมีโรคทางกายก็ต้องการการพักผ่อนมากกว่าคนที่สุขภาพดีกว่า เป็นต้น

โดยทั่วไปผู้คนส่วนใหญ่จะใช้เวลานอนหลับพักผ่อนเป็นเวลาประมาณ 7-8 ชั่วโมง เมื่อตื่นขึ้นก็สดชื่น พร้อมที่จะทำงานและไม่ต้องการนอนพักผ่อนตอนกลางวันอีก อย่างไรก็ตามบางคนอาจจะต้องการเวลานอนน้อยหรือมากกว่านั้น บางคนนอนเพียงหกชั่วโมงครึ่ง ก็พักผ่อนเพียงพอ แต่บางคนอาจต้องนอนนานกว่าแปดชั่วโมงครึ่ง บางคนอาจนอนดึกและตื่นสายเป็นประจำ ในขณะที่บางคนเข้านอนแต่หัวค่ำและตื่นแต่เช้าตรู่

นักวิจัยศึกษาพบว่า โดยทั่วไปคนปกติจะหลับภายใน 10-15 นาทีหลังจากล้มตัวลงนอน ส่วนใหญ่มักจะไม่ตื่นขึ้นเลยในตอนดึก นั่นคือนอนหลับรวดเดียวจนถึงรุ่งเช้า แต่ถ้าตื่นขึ้นมาบ้าง ก็จะหลับต่อได้ในชั่วเวลาเพียงไม่กี่นาที การนอนไม่หลับไม่ใช่โรค แต่เป็นภาวะหรืออาการที่เกิดขึ้นร่วมกับเหตุการณ์ในชีวิตประจำวันที่ทำให้เครียดหรือไม่สบายใจ ความผิดปกติทางกายหรือจิตใจ หรือสภาพแวดล้อมบางอย่าง เช่น การแปลกสถานที่ เป็นต้น

บางคนสงสัยว่าเมื่อใดจึงจะเรียกว่า มีปัญหาเรื่องการนอนไม่หลับ โดยทั่วไปมีข้อสังเกตง่ายๆ ว่า เมื่อรู้สึกว่านอนไม่หลับ หลับไม่สนิทหรือหลับไม่พอเป็นเวลา 3 วันในหนึ่งสัปดาห์ ติดต่อกันเป็นเวลาไม่น้อยกว่าหนึ่งเดือน และรู้สึกวิตกกังวลต่ออาการที่เกิดขึ้นร่วมกับหน้าที่การทำงานที่แย่ลง ก็จะถือว่านอนไม่หลับเป็นปัญหาที่ต้องแก้ไข

การนอนไม่หลับแบบชั่วคราว หมายถึง นอนไม่หลับติดต่อกันเป็นหลายวัน แต่ไม่ถึงหลายสัปดาห์ คนไม่น้อยอาจจะเคยประสบกับปัญหาเหล่านี้ ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของความเครียดหรือความกังวลใจต่อเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง เช่น ทะเลาะกับเพื่อนหรือแฟน มีปัญหากับที่ทำงาน หรือใกล้ๆ วันสอบหรือวันที่ต้องมีธุระสำคัญเป็นต้น ส่วนใหญ่แล้วอาการจะดีขึ้นเองภายในไม่กี่วัน หรือในบางรายอาจต้องใช้ยานอนหลับช่วยในระยะสั้นๆ พออาการดีขึ้นก็หยุดยาได้

การนอนไม่หลับแบบระยะต่อเนื่อง หมายถึง อาการนอนไม่หลับที่เกิดขึ้นนั้น มันเป็นอย่างต่อเนื่อง เป็นสัปดาห์ๆ ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหายหรือดีขึ้น ส่วนใหญ่มักเป็นผลจากความเครียดหรือเหตุการณ์ที่ทำให้เครียดนั้นยังไม่คลี่คลาย เช่น การ ตกงาน ปัญหาเศรษฐกิจเงินทอง รวมถึงปัญหาครอบครัว โดยทั่วไปถ้าปัญหาต่างๆ ได้รับการคลี่คลาย การนอนหลับก็มักจะกลับมาเป็นปกติได้ อย่างไรก็ตาม ทางที่ดีผู้ที่มีอาการเหล่านี้ ควรได้รับคำปรึกษาแนะนำจากแพทย์ว่ามีแนวทางอย่างไรที่จะช่วยปัญหาการนอนหลับของตน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเรื้อรัง

ผู้ที่นอนไม่หลับแบบเรื้อรัง จะมีปัญหาในการนอนไม่หลับอย่างต่อเนื่องเกือบทุกคืน ติดต่อกันหลายเดือน หรือแม้กระทั่งเป็นปี สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการก็จะเริ่มซับซ้อนมากขึ้น ไม่ตรงไปตรงมาเพียงแค่ว่าเครียดแล้วนอนไม่หลับ หลายครั้งที่ความเครียดได้เบาบางหรือหายไปหมดแล้ว แต่อาการนอนไม่หลับกลับยังดำเนินอยู่ต่อ บางคนใจจดใจจ่อตลอดเวลาว่าคืนนี้จะหลับหรือไม่หลับ ถ้าไม่หลับแล้วพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร จะทำงานได้อย่างแจ่มใสหรือไม่ ทำให้เกิดความรู้สึกกลัวการนอน ไม่กล้าที่จะนอน เลยทำให้แทนที่เวลานอนจะเป็นเวลาที่ให้ความสุข กลับกลายเป็นช่วงเวลาที่มีแต่ความทุกข์และทรมาน

นอกจากนี้แล้วยังพบได้อยู่เรื่อยๆ ว่า สาเหตุทางร่างกายบางอย่างก็เป็นต้นเหตุทำให้นอนไม่หลับเรื้อรังได้ เช่น การหายใจผิดปกติขณะหลับ กล้ามเนื้อขากระตุกเป็นพักๆ ระหว่างนอน อาการปวดหรือแม้กระทั่งผู้ป่วยโรคหัวใจ หรือโรคปอด เป็นต้น

การนอนไม่หลับเกิดจากสาเหตุใด

สาเหตุของการนอนไม่หลับ เกิดจากปัจจัยทางกาย ทางจิตใจ และสภาพแวดล้อมของการนอน ปัจจัยทางกาย ได้แก่ โรคที่ทำให้มีอาการเจ็บปวดมาก หายใจไม่สะดวกหรือผลจากยา และสารกระตุ้นบางอย่าง เช่น กาแฟ ปัจจัยทางจิตใจ ได้แก่ เหตุการณ์ในชีวิตที่เกิดขึ้น อาจเป็นเรื่องที่ทำให้เสียใจ ไม่สบายใจ หรือเป็นอาการเริ่มแรกของโรคทางจิตบางอย่าง ส่วนสภาพแวดล้อมของการนอน ได้แก่ สภาพห้องนอน หรือการแปลกต่อสถานที่ก็อาจทำให้นอนไม่หลับได้

อาการปวด ไม่ว่าจะเป็นจากอาการปวดกระดูก ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ หรือปวดจากสาเหตุอะไรก็แล้วแต่ จะรบกวนคุณภาพและประสิทธิภาพการนอนหลับอย่างมาก

การหายใจผิดปกติระหว่างหลับ พบได้บ่อยทีเดียวว่าสาเหตุของนอนไม่หลับเรื้อรังนั้นเป็นจากกลุ่มอาการหายใจผิดปกติในขณะหลับ หรือหยุดหายใจเป็นพักๆ ในขณะหลับ ทำให้สมองขาดออกซิเจนเป็นพักๆ เปรียบเหมือนกับคนถูกรัดคอเป็นพักๆ ทำให้ต้องรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเพื่อหายใจซ้ำในหลายครั้ง ตนเองนั้นอาจจะจำไม่ได้ หรือไม่รู้สึกตัวตื่นในขณะที่สมองต้องตื่นขึ้นมา เพื่อหายใจ อาจรู้สึกแต่เพียงว่าเมื่อคืนที่ผ่านมานอนหลับได้ไม่ดีพอ หลับได้ไม่ลึก ไม่สดชื่น อาการหยุดหายใจที่กล่าวมานั้นจะเกิดขึ้นเป็นพักๆ อาจหลายสิบจนกระทั่งถึงหลายร้อยครั้งได้ในแต่ละคืน

ขากระตุกเป็นพักๆ ระหว่างหลับ ในบางรายจะพบว่าในขณะที่หลับนั้น กล้ามเนื้อที่ขาจะมีอาการกระตุกเร็วๆ เป็นพักๆ ได้ ส่วนใหญ่แล้วจะประมาณทุกๆ 30-45 วินาที และอาจจะต่อเนื่องเป็นชั่วโมง หลายรอบต่อคืน สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ จะทำให้สมองตื่นเป็นพักๆ โดยที่คนผู้นั้นอาจไม่รู้สึกตัวตื่น ผลในตอนเช้าก็คือ จะรู้สึกว่าคืนที่ผ่านมานอนหลับได้ไม่ดี

บางคนนอนไม่หลับเนื่องจากใจไม่สงบ หรือจิตไม่มีสมาธิ ใจไม่สงบก็เพราะใจมันไปยึด ห่วง กังวล วิตก ทุกข์ ร้อน กลัว เกลียด โกรธ โลภ หลง ฯ ไม่อย่างใดอย่างหนึ่ง ก็หลายๆ อย่างผสมกัน แล้วฝังแน่นอยู่ในส่วนลึกของจิต จนเกิดความเครียดขึ้นมาในจิตใจ โดยที่บางครั้งก็ไม่รู้ตัวว่าเกิดจากอะไร พึงระลึกไว้เสมอว่าไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ ที่จะเกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุ การแก้ปัญหาการนอนไม่หลับก็เช่นเดียวกัน จะแก้ให้เด็ดขาด ต้องค้นหาให้พบต้นเหตุก่อน แล้วขจัดสาเหตุเสีย

ลักษณะอาการที่พบร่วมกับอาการนอนไม่หลับ

นอนไม่หลับมักพบร่วมกับอาการของความเครียด ความไม่สบายใจ และเมื่อเริ่มนอนไม่หลับ เราก็มักจะเริ่มรู้สึกกลัวการนอนไม่หลับ หมกมุ่นเกี่ยวกับการนอนไม่หลับ พยายามบังคับให้ตนเองนอนให้หลับ โดยปกติการนอนเป็นธรรมชาติบังคับไม่ได้ ทำให้การนอนในคืนถัดไปแย่ลงจากความกังวลของเราเอง เกิดเป็นวงจรที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้การนอนไม่หลับรุนแรงมากขึ้น ถึงแม้บางครั้งสาเหตุที่ทำให้นอนไม่หลับจะหมดไปแล้วก็ตาม

ผลเสียต่อสุขภาพ

การนอนไม่หลับจะทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจอาจทำให้เกิดโรคทางกาย หรือทำให้โรคทางกายแย่ลง ส่วนทางจิตใจก็จะทำให้เกิดความไม่สบายใจ ความเครียด ไม่มีสมาธิในการทำงาน กลัวว่าจะเป็นโรคร้ายแรง หรือกลัวการนอนไม่หลับได้

ผู้ที่นอนไม่หลับควรมาพบแพทย์ เมื่อการนอนไม่หลับเกิดเป็นปัญหาดังที่กล่าวมาข้างต้นเพราะการที่มาพบแพทย์เร็วจะทำให้พบสาเหตุโดยเร็ว การรักษาจะง่ายขึ้นถ้าปล่อยให้เป็นมาก การรักษาจะยากขึ้น หรือถึงแม้ว่าจะไม่มีโรคใดๆ ก็ตาม ก็จะได้รับคำแนะนำการปฏิบัติเกี่ยวกับการนอนหลับที่ถูกต้อง ทำให้ป้องกันปัญหาที่เกิดขึ้นในอนาคตได้

ปัญหาความไม่สบายใจเพียงเล็กน้อย แล้วทำให้นอนไม่หลับ อาจนำไปสู่ปัญหาการนอนไม่หลับที่รุนแรงและการปฏิบัติที่ไม่ถูกต้องได้อย่างมาก การมาพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุและแก้ไขโดยเร็วตั้งแต่แรก จะทำให้ปัญหารุนแรงน้อยลง รวมทั้งป้องกันปัญหาการนอนไม่หลับในอนาคตได้ด้วย

การปฏิบัติที่ถูกต้องเกี่ยวกับการนอน
ตื่นนอนให้เป็นเวลา ถึงแม้จะนอนได้น้อยเพียงใดก็ตาม การตื่นนอนตรงเวลาจะทำให้ร่างกายปรับวงจรการนอนปกติได้ในคืนถัดไปจะทำให้หลับได้ง่ายขึ้นเอง
จัดสภาพแวดล้อมในห้องนอนให้ดี เช่น อากาศที่ไม่ร้อนหรือหนาวเกินไป เสียงไม่ดังเกินไป แสงต้องไม่สว่างมากเกินไป
ใช้เตียงนอนเพื่อการนอนเท่านั้น ห้ามใช้ทำกิจกรรมอื่น เช่น อ่านหนังสือ หรือทำงานเล็กๆ น้อยๆ ควรจะนอนก็ต่อเมื่อรู้สึกง่วง ถ้านอนไม่หลับใน 10 นาที ให้ลุกจากเตียงไปทำกิจกรรมที่สบายใจ เมื่อง่วงจึงมานอนใหม่
ออกกำลังกายให้สม่ำเสมอทุกวันในตอนเย็น ห้ามออกก่อนนอนเพราะคิดว่าจะทำให้เพลียหลับง่ายขึ้น ซึ่งจะทำให้หลับยากขึ้นกว่าเดิม จากการศึกษาพบว่าการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอในผู้สูงอายุนั้นมีความสัมพันธ์กับคุณภาพของการนอนหลับที่ดีขึ้น
งดสารกระตุ้นหลังเที่ยงวัน เช่น กาแฟ ชา น้ำอัดลม การดื่มเหล้าเบียร์ทำให้หลับง่ายตอนแรกแต่จะทำให้หลับไม่สนิท
การอาบน้ำอุ่น ดื่มนมอุ่น ๆ การผ่อนคลายต่าง ๆ เช่น การทำสมาธิ การบังคับจังหวะลมหายใจเข้าออก การสะกดจิตตนเอง ช่วยให้หลับง่ายขึ้นและหลับสบาย
ถ้ารับประทานอาหารก่อนเข้านอน อย่าให้หนักท้องมาก หรือตรงข้ามอย่าปล่อยให้หิวมากก่อนเข้านอน เพราะความหิวหรืออึดอัดแน่นในท้องจากอิ่มมากไปก็รบกวนการนอนของได้ การรับประทานนม หรือกล้วย อาจทำให้การนอนของท่านดีขึ้น เพาะอาหารเหล่านี้มีสารทริปโทแฟน ซึ่งช่วยในการนอนหลับ
อย่าบังคับให้นอนหลับ เพราะบังคับไม่ได้ หรืออย่าคิดว่าการนอนคืนนี้จะเหมือนคืนก่อน จะทำให้เกิดความกังวลมาก ทำให้หลับยากขึ้น
ไม่ควรนอนชดเชยตอนกลางวัน จะทำให้นอนไม่หลับตอนกลางคืน แต่ถ้าจะมีการงีบหลับในช่วงบ่าย อาจจัดเวลางีบหลับให้เป็นประจำสม่ำเสมอ โดยไม่ควรเกิน 1-2 ชม. และไม่ควรงีบหลับหลัง 15.00 น. เพราะอาจมีผลต่อการนอนหลับในคืนนั้นๆ ได้
ควรระมัดระวังเรื่องการใช้ยานอนหลับ ไม่ควรใช้ยานอนหลับอย่างต่อเนื่องด้วยตนเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ เพราะการใช้ยานอนหลับอย่างต่อเนื่องในระยะหนึ่งนั้น จะไปมีผลรบกวนต่อสรีรวิทยาการนอนหลับที่เป็นปกติได้ อาจทำให้ติดยา และเมื่อหยุดยาจะทำให้นอนไม่หลับมากขึ้นกว่าเดิม
บางคนกังวลเรื่องการนอนมากเกินไป คิดไปเองว่ามีปัญหาโดยเฉพาะผู้สูงอายุที่นอนได้น้อยลง เกรงว่าจำนวนชั่วโมงที่นอนหลับจะน้อยเกินไป ปกติทารกแรกเกิดนอนวันละ 20 ชั่วโมง หนุ่มสาวต้องการเพียง 7-8 ชั่วโมง และเมื่อเข้าวัยกลางคนต้องการเวลานอนเพียง 4 ชั่วโมงครึ่ง ถึง 5 ชั่วโมงครึ่งเท่านั้น
http://www.ecitizen.go.th/view.php?SystemModuleKey=&id=605



การนอนไม่หลับ
การนอนไม่หลับ
การนอนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต คนเราใช้เวลาหนึ่งในสามในการนอนแต่นักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับการนอนเท่าใด คนเราจะมีช่วงที่ง่วงนอน 2ช่วงคือกลางคืน และตอนเที่ยงวันจึงไม่แปลกใจกับคำว่าท้องตึงหนังตาหย่อนในตอนเที่ยง


กลไกการนอนหลับ
เมื่อความมืดมาเยือนเซลล์ที่จอภาพ[retina] จะส่งข้อมูลไปยังเซลล์ประสาทที่อยู่ใน hypothalamus ซึ่งจะเป็นที่สร้างสาร melatonin สาร melatonin สร้างจาก tryptophan ทำให้อุณหภูมิลดลงและเกิดอาการง่วง การนอนของคนปกติแบ่งออกได้ดังนี้
การนอนช่วง Non-rapid eye movement {non- (REM) sleep} การนอนในช่วงนี้มีความสำคัญมากเพราะมีส่วนสำคัญในการทำให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรง เกี่ยวข้องกับระบบย่อยอาการและมีการหลั่งของฮอร์โมนที่เร่งการเติบโต growth hormone การนอนช่วงนี้แบ่งออกเป็น 4 ระยะได้แก่โดยการหลับจะเริ่มจากระยะที่1ไปจน REMและกลับมาระยะ1ใหม่
Stage 1 (light sleep) ระยะนี้ยังหลับไม่สนิทครึ่งหลับครึ่งตื่น ปลุกง่าย ช่วงนี้อาจจะมีอาการกระตุกของกล้ามเนื้อที่เรียกว่า hypnic myoclonia มักจะตามหลังอาการเหมือนตกที่สูง ระยะนี้ตาจะเคลื่อนไหวช้า
Stage 2 (so-called true sleep).ระยะนี้ตาจะหยุดเคลื่อนไหวคลื่นไฟฟ้าสมองเป็นแบบ rapid waves เรียก sleep spindles
Stage 3 คลื่นไฟฟ้าสมองจะมีลักษณะ delta waves และ Stage 4ระยะนี้เป็นระยะที่หลับสนิทที่สุดคลื่นไฟฟ้าสมองเป็นแบบ delta waves ทั้งหมด ระยะ3-4 จะปลุกตื่นยากที่สุดตาจะไม่เคลื่อนไหวร่างกายจะไม่เคลื่อนไหว เมื่อปลุกตื่นจะงัวเงีย
การนอนช่วง Rapid eye movement (REM) sleep จะเกิดภายใน 90 นาที หลังจากนอนช่วงนี้เมื่อทดสอบคลื่นสมองจะเหมือนคนตื่น ผู้ป่วยจะหายใจเร็ว ชีพขจรเร็ว กล้ามเนื้อไม่ขยับ อวัยวะเพศแข็งตัว เมื่อคนตื่นช่วงนี้จะจำความฝันได้
เราจะใช้เวลานอนร้อยละ50ใน Stage 2 ร้อยละ 20ในระยะ REM ร้อยละ30 ในระยะอื่นๆ การนอนหลับครบหนึ่งรอบใช้เวลา 90-110นาที คนปกติต้องการนอนวันละ 8 ชั่วโมงโดยหลับตั้งค่ำจนตื่นในตอนเช้า คนสูงอายุการหลับจะเปลี่ยนไปโดยหลับกลางวันเพิ่มและตื่นกลางคืน จำนวนชั่วโมงในการนอนหลับแต่ละคนจะไม่เหมือนกันบางคนนอนแค่วันละ 5-6 ชั่วโมงโดยที่ไม่มีอาการง่วงนอน
อาการนอนไม่หลับ
อาการนอนไม่หลับไม่ใช่โรคแต่เป็นภาวะหลับไม่พอทำให้ตื่นขึ้นมาแล้วไม่สดชื่น บางคนอาจจะหลับยากใช้เวลามากว่า 30นาทียังไม่หลับ บางคนตื่นบ่อยหลังจากตื่นแล้วหลับยาก บางคนตื่นเช้าเกินไป ทำให้ตื่นแล้วไม่สดชื่น ง่วงเมื่อเวลาทำงาน อาการนอนไม่หลับมักจะเป็นชั่วคราวเมื่อภาวะกระตุ้นหายก็จะกลับเป็นปกติแต่ถ้าหากมีอาการเกิน 1 เดือนให้ถือว่าเป็นอาการเรื้อรัง
การวินิจฉัย
แพทย์จะถามคำถาม 4คำถามได้แก่
ให้อธิบายว่ามีปัญหานอนไม่หลับเป็นอย่างไร
นอนไม่หลับเป็นมานานเท่าใด
เป็นทุกทุกคืนหรือไม่
สามารถทำงานตอนกลางวันได้หรือไม่
แพทย์จะค้นหาว่าอาหารนอนไม่หลับนั้นเกิดจากโรค จากยา หรือจากจิตใจ
คนเราต้องการนอนวันละเท่าใด
ความต้องการการนอนไม่เท่ากันในแต่ละคนขึ้นกับอายุ ทารกต้องการนอนวันละ 16 ชั่วโมง วัยรุ่นต้องการวันละ 9 ชั่วโมง ผู้ใหญ่ต้องการวันละ 7-8 ชั่วโมง แต่คนบางคนก็อาจจะต้องการนอนน้อยเหลือเพียงวันละ 5 ชั่วโมง หากนอนไม่พอร่างกายต้องการการนอนเพิ่มในวันรุ่งขึ้น
เราอาจจะทราบว่านอนไม่พอโดยดูจาก
เวลาทำงานคุณมีอาการง่วงหรือซึมตลอดวัน
อารมณ์แกว่งโกรธง่ายโดยไม่มีเหตุผลเพียงพอกับครอบครัวหรือเพื่อนร่วมงาน
หลับภายใน 5 นาทีหลังจากนอน
บางคนอาจจะหลับขณะตื่นโดยที่ไม่รู้ตัวทั้งหมดเป็นการแสดงว่าคุณนอนไม่พอคุณต้องเพิ่มเวลานอนหรือเพิ่มคุณภาพของการนอน
การนอนหลับจำเป็นอย่างไรต่อร่างกาย
ร่างกายเราเหมือนเครื่องจักรทำงานตลอดเวลาการนอนเหมือนให้เครื่องจักรได้หยุดทำงาน สะสมพลังงานและขับของเสียออก การนอนจึงจำเป็นสำหรับร่างกายมีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี มีการศึกษาว่าการนอนไม่พอจะมีอันตรายการประสานระหว่างมือและตาจะเหมือนกับผู้ที่ได้รับสารพิษ ผู้ที่นอนไม่พอหากดื่มสุราจะทำให้ความสามารถลดลงอ่อนเพลียมาก การดื่มกาแฟก็ไม่สามารถทำให้หายง่วง
มีการทดลองในหนูพบว่าหากนอนไม่พอหนูจะมีอายุสั้น ภูมิคุ้มกันต่ำลง สำหรับคนหากนอนไม่พอจะมีอาการง่วงและไม่มีสมาธิ ความจำไม่ดี ความสามารถในการคำนวณด้อยลง หากยังนอนไม่พอจะมีอาการภาพหลอน อารมณ์จะแกว่ง การนอนไม่พอเป็นสาเหตุของอุบัติต่างๆ เชื่อว่าเซลล์สมองหากไม่ได้นอนจะขาดพลังงานและมีของเสียคั่ง นอกจากนั้นการนอนหลับสนิทจะทำให้มีการหลั่งฮอร์โมนเพื่อการเจริญเติบโต (growth hormone)
จะปรึกษาแพทย์เมื่อไร
ถ้าหากอาการนอนไม่หลับเป็นมากกว่า 1 สัปดาห์ หรือทำให้ไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในเวลากลางวัน ก่อนพบแพทย์ควรทำตารางสำรวจพฤติกรรมการนอนประมาณ 10 วันเพื่อให้แพทย์วินิจฉัย ในการรักษาแพทย์จะแนะนำเรื่องการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการนอน ถ้าไม่ดีจึงจะให้ยานอนหลับ
การนอนหลับอย่างพอเพียงทั้งระยะเวลาและคุณภาพของการนอนหลับจะเป็นปัจจัยในการส่งเสริมสุขภาพที่ดีเหมือนกับการรับประทานอาหารที่มีคุณภาพ และการออกกำลังกาย


สาเหตุของการนอนไม่หลับ
แบ่งได้เป็นเหตุใหญ่ๆดังนี้

สาเหตุจากทางด้านจิตใจ ( Psychologic Causes of Insomnia )ผู้ป่วยจำนวนมากเกิดจากทางด้านจิตใจ เช่นโรคเครียด โรคซึมเศร้า ผู้ป่วยกลุ่มนี้ร้อยละ 70จะมีอาการนอนไม่หลับเป็นอาการสำคัญ
ปัจจัยกระตุ้นให้นอนไม่หลับ (Precipitating Factors of Transient Insomnia) มักจะเป็นชั่วคราวเช่น
Adjustment Sleep Disorder เป็นภาวะนอนไม่หลับที่เกิดจากสิ่งกระตุ้นที่เพิ่งเกิด เช่นผลจากความเครียด จากการเจ็บป่วย ผ่าตัด การสูญเสียของรัก จากงาน เมื่อปัจจัยกระตุ้นหายอาการนอนไม่หลับจะกลับสู่ปกติ
Jet Lag ผู้ป่วยเดินบินข้ามเขตเวลาทำให้เปลี่ยนเวลานอนร่างกายปรับตัวไม่ทันจะทำให้นอนยาก
Working Conditions เช่นคนที่เข้าเวรเป็นกะๆทำให้นาฬิกาชีวิตเสียไป ทำให้นอนไม่เป็นเวลา
Medications นอนไม่หลับจากยา เช่นกาแฟ ยาลดน้ำมูก
นอนไม่หลับจากโรค Medical and Physical Conditions หากคุณมีโรคบางโรคก็อาจจะทำให้คุณนอนไม่หลับเช่น

โรคบางโรคขณะเกิดอาการจะทำให้ผู้ป่วยนอนไม่หลับ เช่นโรคหอบหืด โรคหัวใจวาย ภูมิแพ้ โรคสมองเสื่อม Alzheimer โรคparkinson โรคคอพอกเป็นพิษ
ผลจากการเปลี่ยนแปลงทางฮอร์โมน ฮอร์โมน progesteron จะทำให้ง่วงนอนช่วงไข่ตกจะมีฮอร์โมน progesteron สูงทำให้ง่วงนอน แต่ช่วงใกล้ประจำเดือนฮอร์โมนจะน้อยทำให้อาจจะมีอาการนอนไม่หลับ การตั้งครรภ์ระยะแรกและระยะใกล้คลอดจะมีอาการนอนไม่หลับเนื่องจากเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ช่วงแรกของหญิงวัยทองก็มีอาการนอนไม่หลับเช่นกัน
นอนไม่หลับจากการเปลี่ยนเวลานอน Delayed Sleep-Phase Syndrome เมื่อถึงเวลานอนแต่ไม่ได้นอนทำให้ร่างกายปรับตัวไม่ทัน
ปัจจัยส่งเสริมอาการนอนไม่หลับ Perpetuating Factors มีหลายภาวะที่ส่งเสริมให้นอนไม่หลับ
Psychophysiological Insomnia เกิดจากนอนก่อนเวลานอนแล้วนอนไม่หลับ เรียก Advanced sleep phase Syndrome ทำให้คนผู้นั้นพยายามที่จะนอน กระสับกระส่าย พลิกตัวไปมา ไม่ผ่อนคลายจนกลายเป็นความเครียด ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีลักษณะ ชีพขจรเร็ว ตื่นง่าย อุณหภูมิจะสูงกว่าปกติ
นอนไม่หลับจากสารบางชนิด เช่นกาแฟ สุรา การดื่มกาแฟหรือสุราตอนกลางวันถึงกลางคืนอาจจะทำให้นอนไม่หลับในเวลากลางคืน การดื่มสุราเล็กน้อยก่อนนอนจะช่วยลดความเครียดทำให้หลับดีขึ้นแต่ถ้าหากดื่มมากจะทำให้หลับไม่นานตื่นง่าย ช่วงที่อดสุราก็จะมีปัญหาหลับยาก ผู้ที่สูบบุหรี่จะนอน 3-4 ชั่วโมงแล้วตื่นเนื่องจากระดับ nicotin ลดลง
การที่ระดับ melatonin ลดลงระดับ melatonin จะมีมากในเด็กและลดลงในผู้ใหญ่หลังอายุ 60 ปีจะมีน้อยมาก
จากแสง จากความรู้ข้างต้นแสงจะกระตุ้นให้ตื่นแม้ว่าจะรี่แสงแล้วก็ตาม
นอนไม่หลับในวัยเด็ก พ่อแม่ที่เวลานอนไม่สม่ำเสมอจะทำให้เด็กนอนไม่หลับในตอนโต
การออกกำลังตอนใกล้เข้านอน การทำงานที่เครียดก่อนนอน
การที่นอนและตื่นไม่เป็นเวลา
สิ่งแวดล้อมในห้องนอนไม่ดี เช่นร้อน หนาว แสงจ้าไป เสียงดังไป รวมทั้งลักษณะการนอนของคนใกล้ชิด เช่นนอนดิ้น นอนกรนเป็นต้น
หากท่านยังไม่ทราบสาเหตุให้กรอก ความต้องการการนอนไม่เท่ากันในแต่ละคนขึ้นกับอายุ ทารกต้องการนอนวันละ 16 ชั่วโมง วัยรุ่นต้องการวันละ 9 ชั่วโมง ผู้ใหญ่ต้องการวันละ 7-8 ชั่วโมง แต่คนบางคนก็อาจจะต้องการนอนน้อยเหลือเพียงวันละ 5 ชั่วโมง หากนอนไม่พอร่างกายต้องการการนอนเพิ่มในวันรุ่งขึ้น
คนปกติควรจะได้นอนวันละ 8 ชั่วโมงผู้หญิงก็เช่นกันควรจะนอนวันละ 8 ชั่วโมงเพราะหากนอนน้อยจะทำให้เกิดผลเสียเช่น ง่วงในเวลากลางวัน เกิดอุบัติเหตุ สมาธิไม่ดี เจ็บป่วยง่าย แต่สำหรับคุณผู้หญิงอาจจะมีปัญหาเรื่องการนอนเนื่องจากมีผลของฮอร์โมนเข้ามาเกี่ยวข้อง
ประจำเดือนกับการนอนหลับ
ระยะก่อนไข่ตกคือตั้งแต่วันที่1-12 ของรอบเดือน ระยะ5วันแรกจะมีประจำเดือนระยะนี้มีระดับ progesterone ต่ำอาจจะประสบปัญหาเรื่องนอนไม่หลับ
ระยะไข่ตกคือวันที่13-14ของรอบเดือน ถ้าไข่ไม่ได้รับการผสมอีก 14 วันก็จะเกิดรอบเดือนใหม่
ระยะหลังไข่ตกคือตั้งแต่วันที่15-28 ระดับ progesterone จะเริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 15-21 สูงสุดช่วงวันที่ 19-21 ช่วงนี้จะหลับได้ดี แต่หลังจากวันที่22 ระดับฮอร์โมนเริ่มลดอย่างรวดเร็วจะทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับ หลับยาก ตื่นเร็ว และเกิดอาการก่อนมีประจำเดือน เช่นปวดท้อง อารมณ์แกว่ง ท้องอืด ปวดศีรษะ
วิธีการดูแลเมื่อนอนไม่หลับ
เมื่อคุณไม่หลับด้วยสาเหตุใดๆมีวิธีการที่จะช่วยให้คุณหลับได้ดีขึ้น
ออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ ไม่ควรออกกำลังกายก่อนเข้านอน 3 ชั่วโมงการออกกำลังกายจะทำให้หลับสนิทมากขึ้น
หลีกเลี่ยงอาหารหรือน้ำหวานและอาหารเค็มรวมทั้งเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของกาแฟ และสุราเนื่องจากสารดังกล่าวจะไปรบกวนการนอน
นอนให้เป็นเวลา ห้องต้องมืด เงียบ และเย็นพอสมควร ที่นอน หมอนต้องนอนสบาย
ปรึกษาแพทย์เมื่ออาการไม่ดีขึ้น
การตั้งครรภ์กับการนอนหลับ
การตั้งครรภ์จะมีการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพหลายอย่างเช่น ปวดตามตัว ปวดท้อง ตะคริว คลื่นไส้อาเจียน เด็กเคลื่อนไหวในท้อง รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ เหล่านี้จะมีผลต่อการนอนของคนท้อง
ตั้งครรภ์ระยะ1-3เดือนระยะนี้จะมีระดับ progesterone สูงทำให้ง่วงนอนนอนเก่ง แต่เนื่องจากจะมีอาการปัสสาวะบ่อยทำให้นอนไม่พอทำให้เกิดอาการง่วงและหลับในเวลากลางวันบ่อย
ตั้งครรภ์ระยะ1-6เดือนระดับฮอร์โมนยังสูงต่อเนื่องแต่จะขึ้นไม่เร็วเท่าช่วงแรกช่วงนี้หลับได้ดีขึ้น
ตั้งครรภ์ระยะ7-9เดือน ครรภ์เริ่มใหญ่ขึ้นทำให้นอนไม่สะดวก ปัสสาวะบ่อย แน่นท้องและปวดขาทำให้ต้องตื่นนอนกลางคืน
โรคที่ทำให้นอนไม่หลับในคนท้อง
การนอนกรนในคนท้อง
ร้อยละ30ของคนท้องจะนอนกรนเนื่องจากมีการบวมของเยื่อจมูกทำให้หายใจลำบาก การนอนกรนจะทำให้เกิดความดันโลหิตสูง ถ้าหากการอุดทางเดินหายใจรุนแรงจะทำให้เกิดโรค sleep apnea คือจะนอนกรนดังมาก และมีช่วงหยุดหายใจเวลากลางคืน กลางวันจะง่วงมาก ควรปรึกษาแพทย์หากนอนกรนร่วมกับง่วงในเวลากลางวัน
Restless Legs and Poor Sleep
ร้อยละ 28 ของผู้หญิงจะมีอาการรู้สึกไม่สบายเท้า ชา ร้อน เหมือนมีอะไรในเท้าทำให้ต้องเคลื่อนไหวเท้ามักเป็นเวลาตอนเริ่มนอนทำให้นอนไม่พอ ยาที่ใช้รักษาอาการนี้อาจจะมีผลต่อเด็กควรปรึกษาแพทย์
วิธีการช่วยให้คนท้องหลับดีขึ้น
เมื่อครรภ์อายุมากขึ้นและมีขนาดใหญ่ขึ้นให้นอนตะแคงซ้ายเพื่อให้เลือดไปเลี้ยงเด็กและอวัยวะภายในได้มากขึ้น ไม่ควรนอนหงายเป็นระยะเวลานาน
ให้ดื่มน้ำมากๆในเวลากลางวันส่วนก่อนนอนให้ลดการดื่มน้ำลง
เพื่อป้องกันอาการปวดท้อง heart burn ให้รับประทานอาหารแต่ละมื้ออย่ามากเกินไป ลดอาหารเผ็ด อาหารเปรี้ยว ถ้าหากมีอาการแน่นท้องให้นอนหัวสูง
ออกกำลังการอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง ระบบไหวเวียนโลหิตดีและอาการตะคริวที่เท้า
ให้รับประทานของว่างบ่อยๆซึ่งจะลดอาการคลื่นไส้อาเจียน
ผู้ป่วยบางรายอาจจะต้องใช้หมอนสำหรับคนท้อง
ให้งีบหลับบ้างในเวลากลางวัน
ปรึกษาแพทย์หากยังคงมีอาการอยู่
วัยทองกับการนอนหลับ
อาการของหญิงวัยทองแต่ละคนจะไม่เท่ากันคนที่เป็นวัยทองโดยธรรมชาติอาการจะไม่มากส่วนผู้ที่ตัดรังไข่จะมีอาการวัยทองค่อนข้างมาก อาการทีเกิดเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมน estrogen ทำให้เกิดร้อนตามเนื้อตัวเหงื่อออกอาการนี้จะอยู่โดยเฉลี่ย 5 ปี การนอนหลับของผู้ป่วยวัยทองจะไม่มีคุณภาพตื่นบ่อยเนื่องจากร้อนตามตัว การรักษาถ้าอาการมากจะให้ฮอร์โมนเสริม ยาป้องกันโรคกระดูกพรุน มีรายงานว่าโสมและผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง เช่นเต้าหู้ น้ำเต้าหู้ซึ่งมีสาร phyto-estrogen สามารถลดอาการของวัยทองได้

การรักษาโรคนอนไม่หลับ
หากคุณมีปัญหาเรื่องนอนไม่หลับหรือหลับยากต้องใช้เวลามากกว่า 30 นาทีหรือตื่นเร็วทำให้ไม่สดชื่นหลังจากตื่นนอน เราเรียกนอนไม่หลับ นอนไม่หลับไม่ใช่โรคแต่เป็นอาการเนื่องจากสาเหตุต่างๆที่กระตุ้น เช่น ความเครียด วิตกกังวล ซึมเศร้า โรคต่างๆ รวมทั้งพฤติกรรมในการนอน ยาบางชนิดก็ทำให้นอนไม่หลับเช่น ยาลดน้ำมูกยาแก้แพ้ ยารักษาโรคหัวใจ ยาลดความดันโลหิตสูง ยารักษาโรคหอบหืด

นอกจากภาวะต่างดังกล่าวก็ยังมีโรคที่ทำให้นอนไม่หลับ sleep disorder โรคดังกล่าวได้แก่
Narcolepsy
Sleep Apnea
Periodic Leg Movements in Sleep (PLMS)
Restless Legs Syndrome (RLS)
Circadian Rhythm Disorder
การวินิจฉัย
ท่าอาจจะกรอกก่อนไปพบแพทย์แพทย์จะถามคำถาม เพื่อหาสาเหตุของการนอนไม่หลับ
ให้อธิบายว่ามีปัญหานอนไม่หลับเป็นอย่างไร เช่นหลับยากหรือตื่นเร็วหรือตื่นบ่อย ตื่นเพราะอะไร มีโรคประจำตัวอะไรบ้าง ใช้ยาอะไรบ้าง ดื่มกาแฟหรือดื่มสุราบ้างหรือไม่
มีภาวะเครียด หรือวิตกกังวล หรือโรคซึมเศร้าหรือไม่
นอนไม่หลับเป็นมานานเท่าใด
เป็นทุกทุกคืนหรือไม่
สามารถทำงานตอนกลางวันได้หรือไม่อารมณ์แกว่งหรือไม่
ผลกระทบจากการนอนไม่หลับ
ผลกระทบจาการนอนไม่หลับกระทบกับคุณภาพชีวิต คุณภาพการทำงาน และความปลอดภัย
ผู้ที่นอนไม่หลับจะมีอัตราการเกิดโรคซึมเศร้า 4 เท่า
การนอนไม่หลับเป็นความเครียดอาจจะทำให้เกิดโรคหัวใจ
อาจจะเกิดอันตราขณะทำงาน ขับรถ
ขาดงานบ่อย ไม่ก้าวหน้าในการทำงาน
การรักษา
ข้อบ่งชี้ในการใช้ยารักษานอนไม่หลับ
ต้องหาสาเหตุว่านอนไม่หลับเกิดจากโรคอะไร และโรคนั้นรักษาด้วยยานอนหลับได้ผล
นอนไม่หลับก่อให้เกิดผลเสียต่อชีวิตประจำวัน
ใช้การรักษาวิธีอื่นแล้วไม่ได้ผล
ภาวะนอนไม่หลับเป็นภาวะชั่วคราว
ภาวะนอนไม่หลับเป็นอาการแสดงของโรคอื่น เช่น Alzheimer, dementia
หลักการให้ยารักษาภาวะนอนไม่หลับ
ให้ยาขนาดน้อยที่สุด
ควรจะใช้ระยะสั้น
หากใช้ระยะยาวให้หยุดใช้ยาเป็นช่วงๆ
ควรใช้ยาร่วมกับวิธีการอื่นร่วมด้วย
ยานอนหลับ
ยานอนหลับเป็นยาที่ทำให้หลับง่าย ยานอนหลับที่ดีต้องให้ผลคือ นอนหลับเร็ว นอนหลับนานขึ้น ตื่นกลางคืนน้อยลง และสดชื่นหลังจากตื่น ยาที่ใช้แบ่งเป็น
Benzodiazepines ยานี้เป็นยาที่ใช้บ่อย ยานี้ลดการกระตุ้นของเซลล์สมอง ผลข้างเคียงไม่มากและอัตราการติดยาไม่มาก ยาที่นิยมใช้ได้แก่ lorazepam , alprazolam , triazolam , flurazepam , temazepam , oxazepam , prazepam , quazepam , estazolam , flunitrazepam เนื่องจากยากลุ่มนี้มีผลต่อจิตประสาทและเป็นยาที่ทางอาหารและยาควบคุม การจ่ายยาจะต้องมีใบสั่งแพทย์ไม่ควรซื้อยารับประทานเอง
ยากลุ่มนี้แบ่งตามการออกฤทธิ์เป็นสองแบบคือออกฤทธิ์ระยะสั้นได้แก่ยา lorazepam , alprazolam , triazolam ยากลุ่มนี้จะอยู่ในกระแสเลือดระยะสั้น ไม่ทำให้เกิดอาการง่วงนอนในเวลากลางวัน ส่วนอีกกลุ่มคือออกฤทธิ์ระยะยาว ยาจะอยู่ในกระแสเลือดเป็นเวลานานได้แก่ยา flurazepam,quazepam ยากลุ่มนี้จะทำให้ง่วงนอนในตอนกลางวัน และเป็นสาเหตุให้เกิดอุบัติเหตุ การให้ยากลุ่มนี้ต้องระวังในผู้สูงอายุ ควรจะได้ในขนาดครึ่งหนึ่งของคนปกติและควรจะได้ยาที่ออกฤทธิ์ระยะสั้น ยานี้ไม่ควรให้ในคนท้องและเลี้ยงบุตรด้วยนมแม่เพราะยาจะผ่านไปสู่ลูกได้ หากได้ยาเกิดขนาดมักไม่ถึงกับเสียชีวิต ผู้ป่วยที่รับประทานยาเป็นเวลานานและหยุดยาอาจจะมีอาการนอนไม่หลับและเกิดร่วมกับอาการอย่างอื่น เช่นอาหารไม่ย่อย เหงื่อออก ใจสั่น ในรายที่เป็นรุนแรงอาจจะมีภาพหลอน อาการหยุดยาจะเป็นประมาณ 1-3 สัปดาห์ สำหรับอาการหยุดยาที่ไม่รุนแรงอาจจะเป็นแค่ 1-2 วัน การที่จะหยุดยาควรจะค่อยลดขนาดยาลงไม่ควรหยุดยาทันทีเพราะจะเกิดผลข้างเคียง ควรจะรับประทานยานานแค่ไหน ยานอนหลับควรใช้ระยะสั้นไม่ควรให้ระยะยาวแต่บางรายก็มีความจำเป็นต้องให้ระยะยาวโดยมากไม่ควรให้เกิน 4 สัปดาห์ ข้อควรระวังในการใช้ยา ไม่ควรดื่มสุราขณะใช้ยานี้เพราะจะทำให้ยาออกฤทธิ์นาน ไม่ควรใช้ยานี้ในผู้สูงอายุที่ต้องตื่นบ่อบเนื่องจากอาจจะเกิดหกล้ม ไม่ควรใช้ยานี้ในผู้ที่ต้องทำงานกับเครื่องจักร และไม่ควรให้ยานี้ในผู้ป่วยที่มีโรค sleep apnea syndrome
Non-Benzodiazepine Hypnotics เป็นยานอนหลับอีกชนิดหนึ่งที่ได้ผลค่อนข้างดีได้แก่ Zolpidem,Zopiclone ไม่ค่อยมีอาการดื้อยา และไม่ค่อยมีอาการติดยา ผลข้างเคียงของยาไม่มากเป็นยาที่เป็นทางเลือกอีกทางหนึ่ง
Antidepressants ยาแก้โรคซึมเศร้าเหมาสำหรับอาการนอนไม่หลับที่พบร่วมกับภาวะซึมเศร้า ยาใหม่ที่ได้ผลดีควรออกฤทธิ์ต่อ serotonin เช่น trazodone,nefazodone,paroxetine
ยาอื่นได้แก่ ยาแก้แพ้เช่น chlorpheniramine,diphenhydramine,hydroxyzine อาจจะทำให้นอนหลับได้
Barbiturates เป็นยานอนหลับใช้สมัยก่อน เนื่องจากยานี้หากได้เกินขนาดอาจจะเป็นอันตรายต่อชีวิต และอัตราการติดยาสูง ปัจจุบันไม่ควรใช้ในภาวะนอนไม่หลับ สำหรับภาวะที่นอนไม่หลับเกิดจากวัยทองการให้ฮอร์โมน Estrogen Replacement Therapy จะช่วยให้หลับดีขึ้นhttp://sites.google.com/site/tiens191/bthkhwam-thi-na-snci/kar-nxn-mi-hl